Lancia Beta Coupe” : For only Lancisti
กรี๊ดสลบกลางยุค 70’s
รถสปอร์ตคูเป้บ้านเราในช่วงกลาง 70’s ที่ทำท่าว่าจะขาดช่วง เพราะ Alfa ตระกูล Giulia Coupe 2 ประตู เลิกผลิตและช่วงบั้นท้ายเริ่มดูล้าสมัย, BMW ตระกูล 02 เริ่มไม่ฮ็อตเหมือนในอดีตทั้งๆ ที่เขาได้มีการนำรุ่น Tii เข้ามาเสริมตลาด ส่วนรถยุโรปสัญชาติอังกฤษ Triumph ถึงยุคของรุ่น Dolomite ธรรมดา และ Dolomite Sprint OHC 16 วาล์ว 127 แรงม้า (DIN) แต่ก็มีไม่กี่คัน ถึงยุคปลายของยี่ห้อนี้ในบ้านเราก็ได้มีตัวกระชากใจออกมาเติมความใฝ่ฝันของคนใจแรงยุคนั้น หลายคนที่โชคดีมีเงินถอยออกมาขับแล้วเฉิดโฉมมาก หลายคนก็ได้แต่ฝันคอยลูบคลำ หรือดูรูปเอาตามแม็กกาซีน มันคือ “Lancia Beta Coupe” นำเข้าทั้งคันจากอิตาลีนั่นเอง ด้วยเพดานราคาที่ตั้งไว้ตอนเปิดตัวรุ่น 1800 ประมาณปลายปี’75 ที่ 550,000 บาท!!! ในการที่ Alfa Romeo 2000 GT Veloce ขายอยู่ที่ 330,000 บาท และ BMW 2000 ขายอยู่ประมาณ 320,000 บาท
Beta Coupe เปลี่ยน “ลุค” ภายนอกภายในและห้องเครื่องของรถสปอร์ตคูเป้ยุคนั้นโดยสิ้นเชิง ด้วยสไตล์แบนราบ ส่อถึงความเป็นตุ๊กแกกับพื้นถนนได้เป็นอย่างดี เบาะหนังสีเบจบั๊คเก็ตซีททั้ง 4 ตัวหน้าหลัง แผงหน้าปัดลายไม้มีนาฬิกาอะนาล็อก (รุ่นถัดมาเป็นดิจิตอลบนแผงหน้าปัดไวนีลดำก็สวยไปอีกแบบ) เปิดเครื่องเป็นทวินแค็มกะทัดรัดจาก Fiat 132 แต่จับมาขวางแล้วตั้งเอียงไปทางด้านหลังประมาณ 20 องศา เนื่องจากเป็นอิตาเลี่ยนสไตล์ระบบระเบียบภายในห้องเครื่องนั้นจึงรกรุงรังแน่นเอียดไปหมด ไม่เหมือนรุ่นซีดาน 4 ประตู Betaเฉยๆ ที่ดูโล่งกว่าหน่อย Beta Coupe ตัวถัดมาในบ้านเรามีการปรับเปลี่ยนโฉมเล็กน้อย แล้วเอาเครื่อง 2000 จาก Fiat 132 อีกเช่นกันมาวางขายต่อเนื่อง มาจนถึงล็อตสุดท้ายในบ้านเราประมาณปี’88 โดยดั๊มพ์ราคาขายกันในหมู่นักเล่นที่เรียกว่า “Lancisti” ที่ 390,000 บาท
จริงๆ แล้วในต่างประเทศ Beta Coupe วางเครื่องไล่ตั้งแต่ 1,300 ซีซี.ขึ้นมา 1,400 และ 1,600 ให้เลือกมากมายเอาเฉพาะบรรดา 8 วาล์วนี่ก็ล่อเข้าไปถึง 17 สปีชี่ย์ ไล่ตามเวอร์ชั่นรถและปีที่ผลิตโดยรวมเอาบล็อคหลังๆ ที่วางในตัว HF และ VX ซูปเปอร์ชาร์จเข้าไปด้วย นอกจากนี้ยังมีฝา 16 วาล์ว 1,800 ซีซี.คาร์บูเรเตอร์สำหรับ Beta Coupe ตัวแข่งกรุ๊ป 4 ที่ได้มาเบาะๆ 190 แรงม้า ที่ 7,700 รอบ เอาไว้ใส่กับ Ford Escort RS 1800 BDA ได้อย่างถนัดถนี่
ย้อนระลึกถึงตระกูล Beta ของ Lancia
Beta Coupe นั้นเป็นสปอร์ตคูเป้แท้ๆ ที่อยู่ในรอยต่อของรุ่นท้อปฮิตตลอดเวลาในวงการรถแข่งแรลลี่โลก นั่นคือ Lancia Fulvia และ Lancia Montecarlo และ Lancia 037 ในตระกูล Beta นั้นก็มีทั้ง 4 ประตูซีดาน และคูเป้ 2 ประตู เป็นรถของยี่ห้อรุ่นแรกที่ถูกผลิตหลังจากที่ต้องขายกิจการให้กับกลุ่ม Fiat ในปี 1969 Fiat ใช้เวลาพัฒนาจัดการกับ Lancia อยู่ 2 ปีเต็มก็ออกเจ้า Beta ธรรมดาออกมาโชว์ และถือโอกาสเปิดตัวเพื่อขายในงานตูรินมอเตอร์โชว์ปลายปี’72 วันดีคืนดีก็ได้ยืมเครื่อง 1,400 กว่าๆ (1438 ซีซี.ที่มี 90 แรงม้า) มาจาก Fiat 125, เอาบล็อค 1,600 กับ 100 แรงม้ามาจาก 125 S และ 1,800 ซีซี.จาก Fiat 132 ที่ได้มา 110 แรงม้า เจ้า Lancia Beta ธรรมดานี้ขอข้ามไปเลยเพราะงั้นๆ เรามาว่ากันในอีกหนึ่งปีถัดมาคือ 1973 ที่ Beta Coupe ถือกำเนิดดีกว่า
เนื่องจากคำว่า Coupe มันต้องขับได้เร้าใจคล่องแคล่วกว่ารุ่นธรรมดา ดังนั้นถ้าจะแชร์แพลทฟอร์มก็ต้องปรับเปลี่ยนความกว้าง ความยาวของช่วงล้อกันบ้าง ในที่นี้ฐานล้อนั้นคงเดิมมาเปลี่ยนแค่ระยะล้อหน้า-หลังสั้นกว่าตัวซีดานอยู่ 190 มม. แต่ตัว “กระดอง” เดิมที่ Fiat เอาไปดีไซน์เองนั้นมาคราวนี้รู้ว่ายังไงก็ไม่ถนัด และได้จิตวิญญาณคำว่า Lancia จึงโยนกลับมาที่ต้นสังกัดเจ้าของตรายี่ห้อเขาทำที่ Lancia Design Center เครื่องยนต์ถูกรีดกำลังจากการเพิ่มกำลังอัดเล็กน้อยพร้อมปรับองศาแค็มชาฟท์จาก 100 (DIN) ก็กลายเป็น 108 ในรุ่น 1,600 จาก 110 (DIN) ก็กลายเป็น 120 (DIN) ในพริบตาในรุ่น 2,000 เปลี่ยนอัตราทดเกียร์และเฟืองท้ายใหม่หมด รวมทั้งเพลาหน้ามาใช้แบบที่ 2 ข้างยาวเท่ากันเพื่อลดทอร์คสเตียร์
หมายเหตุ ในเมืองนอก Beta Coupe ยังมีรุ่นทาร์ก้าเปิดหลังคาบางส่วน และ Convertible เปิดหมดเอาไว้เพิ่มระดับการรับแสงจันทร์แสงแดดขายในนามรุ่น Spider อีกด้วย (ซึ่งในอเมริกาเรียกว่ารุ่น Zagoto) เป็นการออกแบบโดย Pininfarino แล้วให้ Zagoto ผลิต
เราจะไม่พูดถึงตอนที่ตัวซีดานวางเครื่อง 1300 และ LPG เพราะไม่น่าสนใจ แต่จะพูดถึงเวอร์ชั่น HPE (High Performance Estate) แล้วได้ใจ จึงนำมา “เหลา” ให้กลมกลึงขึ้นกลายเป็นรุ่นคลาสสิค “Montecarlo” ตัวแรกนั่นยกกระบิหน้าตามาจาก Lancia ซีดาน แต่มาทำเป็น 2 ประตูและเพิ่มเก้าอี้บรรทุกเข้าไปจึงมีรูปร่างคล้ายลิ่มมองคล้ายพวก Integrale ในอีกหลายปีถัดมา ส่วนตัวหลังนั้นให้ Pininfarino ออกแบบขัดเกลามาจากรถต้นแบบ X 1/8 ของ Fiat จึงมีรูปร่างทรงลิ่มแบนเตี้ยเช่นกัน เพียงแต่ถูกเหลาให้โค้งมนดูลู่ลมมากขึ้น (ตอนเป็น Montecarlo นี้ถือว่าจบความเป็น Beta Coupe ไปแล้ว เพราะกลายเป็นคนละเรื่อง อย่างเครื่องก็ถูกนำมาวางกลางบอดี้ ถือว่าเปลี่ยนนามสกุลไปแล้วอันเป็นปี 1975) แต่ทางโรงงานก็ยัง “ลากยาว” การผลิต Beta Coupe มาจนถึงรุ่นสุดท้ายในปี 1984 (ไม่รวมการผลิตนอกอิตาลี) ในช่วง14 ปีแห่งความหลังของมันนี้ ถ้าจะแบ่งเป็นช่วงๆ น่าจะได้ 4 ยุคที่ Lancia ได้ปรับโฉมไมเนอร์เชนจ์ภายนอกภายในพร้อมทั้งปรับปรุงเครื่องยนต์เป็นสกุลปลีกย่อยดังนี้
ยุคแรก : ช่วง 1973-1975
Beta Coupe นั้นนักแพลทฟอร์มจากรุ่นซีดาน “หด” ความยาวตัวถังลงไป 30 ซม. ลดความสูงลง 11.5 ซม. และลดระยะห่างล้อหน้า-หลัง (Wheel base) จาก 2540 ซม.เหลือ 2350 รุ่นนี้วางเครื่อง 2 ขนาดคือ บล็อค 828.AC 10 ขนาด 1,600 ซีซี. และ 828.AC1 ขนาด 1,800 ซีซี.
จุดสังเกต : ฝากระโปรงเรียบตลอด, มีรูรับอากาศใต้กันชน 2 รู, ไฟกลมคู่ในขอบโครม
ยุคที่สอง : ช่วงปลาย 1975-1978
เครื่อง 1,800 นั้นแทบเหมือนเดิมแต่ก็เปลี่ยนรหัสเป็น 828.BC1 เพิ่มตัว 2000 โดยนำมาจาก Fiat ปรับแต่งแค็มและกำลังอัดเรียกม้า 119 (DIN) ที่รอบเครื่องคอนข้างต่ำคือ 5,500 rpm ในยุคนี้วางเครื่อง 1,300 ซีซี. (828.BC3) เข้าไปด้วยเป็นตัวล่างสุดตัดอ๊อพชั่นฟุ่มเฟือยไป เช่น ปัดน้ำฝนทิ้งช่วง, นาฬิกา, ไฟห้องโดยสารหลังที่อยู่กลางระหว่างเบาะ, เบาะหลังไม่เป็นบั๊คเก็ตซีท, ใส่ยางหน้าแคบกว่า
จุดสังเกต : ฝากระโปรงนูนโค้งไล่ที่ขอบหน้า, ฝาตะแกรงหน้าเป็นซี่โลหะด้านล้าง, ไฟหน้าอยู่ในกรอบสี่เหลี่ยมใส
ยุคที่สาม : ปลาย 1978-1981
เครื่องยนต์เหมือนเดิมรหัสเดิม แต่เปลี่ยนในรายละเอียดย่อยอย่างบล็อค 1,300 จากเดิมสุทธิ 1,297 ยืดมาเป็นสุทธิ 1,301 ซีซี.ตัว 2000 ถูกข้อบังคับเรื่องมลพิษม้าลดเหลือ 115 ตัว แต่ทอร์คมากขึ้น 2 nm (บ้านเราไม่เกี่ยว) เครื่อง 2,000 ซีซี.ในบางประเทศแม้จะใช้รหัส 828.BC1 เหมือนเดิม แต่หันมาใช้ระบบจุดระเบิดอิเล็คทรอนิคส์ไปแล้ว และมีเกียร์ออโตให้เลือกด้วย
จุดสังเกต : พวงมาลัยเปลี่ยน/หน้าปัดเปลี่ยนเป็นไวนีลดำที่สวยน้อยลง, นาฬิกาเปลี่ยนเป็นดิจิตอล เบาะเปลี่ยนจากบั๊คเก็ตซีทเข้ารูปมาเป็นแบบชามอ่างที่นั่งสบายขึ้น แต่ขาดเสน่ห์คูเป้
ยุคที่สี่ : ปลาย 1981-1984
บล็อก 1,300 ถูกขยายเป็นสุทธิ 1,366 ซีซี.ได้มา 84 แรงม้า (DIN) ตัว 2000 ใช้หัวฉีด L-Jetromic ได้มา 122 แรงม้า (DIN) และมีตัวที่วางเครื่อง 2000 ซูเปอร์ชาร์จ 135 แรงม้า ให้เลือกในรุ่น VX
จุดสังเกต : กระจังหน้าสไตล์ Montecarlo, เปลี่ยนล้อแม็กมาเป็นแบบ 9 ซี่, กันชนหน้า, มีสปอยเลอร์ยางเล็กๆ แปะด้านท้าย, เบาะหน้า Recaro แท้จากโรงงาน
รายละเอียดเครื่องยนต์, ระบบส่งกำลัง, ระบบกันสะเทือน
Beta Coupe และซีดานธรรมดาถูกโรงงานผลิตวางเครื่องยนต์หลายขนาดด้วยกันดังนี้
บล็อค 1,300 ซีซี.และที่ระเบิดเป็น 1,400 ซีซี.
-1,297 ซีซี., คาร์บูเรเตอร์กำลังอัด 8-9 : 1, 82 แรงม้า/6,200 rpm
-1,301 ซีซี., คาร์บูเรเตอร์กำลังอัด 8-9 : 1, 82 แรงม้า/6,200 rpm
-1,366 ซีซี., คาร์บูเรเตอร์กำลังอัด 8-9 : 1, 84 แรงม้า/5,800 rpm
-1,438 (เฉพาะซีดาน) ซีซี., คาร์บูเรเตอร์กำลังอัด 8-9:1, 90 แรงม้า/6,000 rpm
บล็อค 1,600 ซีซี.
-1,585 ซีซี., คาร์บูเรเตอร์กำลังอัด 9.4 : 1, 100 แรงม้า/5,800 rpm
-1,592 ซีซี. (เฉพาะซีดาน), คาร์บูเรเตอร์กำลังอัด 8.9 : 1, 100 แรงม้า/ 6,000 rpm
-1,592 ซีซี., คาร์บูเรเตอร์กำลังอัด 9.8 : 1, 108 แรงม้า/ 6,000 rpm
บล็อค 1800 ซีซี.
-1,759 ซีซี. (เฉพาะซีดาน), คาร์บูเรเตอร์กำลังอัด 8.9 : 1, 110 แรงม้า/6,000 rpm
-1,756 ซีซี., คาร์บูเรเตอร์กำลังอัด 8.9 : 1, 110 แรงม้า/6,200 rpm
-1,756 ซีซี. (ตลาดยูเอส), คาร์บูเรเตอร์กำลังอัด 8.0 : 1, 186 แรงม้า/6,200 rpm
บล็อค 2,000 ซีซี.
-1,919 ซีซี., คาร์บูเรเตอร์กำลังอัด 8.9 : 1, 111 แรงม้า/5,500 rpm
-1,995 ซีซี., คาร์บูเรเตอร์กำลังอัด 8.9 : 1, 119 แรงม้า/5,500 rpm
-1,995 ซีซี., คาร์บูเรเตอร์กำลังอัด 8.9 : 1, 115 แรงม้า/5,500 rpm
-1,995 ซีซี. (ตลาดยูเอส), คาร์บูเรเตอร์กำลังอัด 8.1 : 1, 187 แรงม้า/5,400 rpm
-1,995 ซีซี. (หัวฉีด), คาร์บูเรเตอร์กำลังอัด 8.9 : 1, 122 แรงม้า/5,500 rpm
-1,995 ซีซี. (ตลาดยูเอส-หัวฉีด), คาร์บูเรเตอร์กำลังอัด 8.3 : 1, 108 แรงม้า/5,500 rpm
-1,995 ซีซี. (ซูเปอร์ชาร์จ), คาร์บูเรเตอร์กำลังอัด 7.5 : 1, 136 แรงม้า/5,500 rpm
บล็อค 16 วาล์ว Abarth
-1,756 ซีซี. คาร์บูเรเตอร์กำลังอัด NA : 1, 190 แรงม้า/7,700 rpm
บล็อค 1,400, 1,600, 2,000 ซีซี.ที่พัฒนาไปวางใน Lancia รุ่นอื่น
-1,425 ซีซี. เทอร์โบ คาร์บูเรเตอร์กำลังอัด 7.0 : 1, 400 แรงม้า/8,800 rpm
วางใน Montecarlo กรุ๊ป 5
-1,773 ซีซี. ไบเทอร์โบ คาร์บูเรเตอร์กำลังอัด NA : 1, 490 แรงม้า/8,000 rpm
วางใน Montecarlo ไบเทอร์โบ
-1,995 ซีซี. ซูเปอร์ชาร์จ คาร์บูเรเตอร์กำลังอัด NA : 1, 205 แรงม้า/7,000 rpm
วางใน Lancai 037
-1,995 ซีซี. ซูเปอร์ชาร์จ คาร์บูเรเตอร์กำลังอัด NA : 1, 300 แรงม้า/8,000 rpm
วางใน Montecarlo Volumex
-1,995 ซีซี. ซูเปอร์ชาร์จ คาร์บูเรเตอร์กำลังอัด NA : 1, 310 แรงม้า/8,000 rpm
วางใน Lancai 037 Rally
-2,111 ซีซี. ซูเปอร์ชาร์จ คาร์บูเรเตอร์กำลังอัด NA : 1, 325 แรงม้า/8,000 rpm
วางใน Lancai 037 Rally
ระบบส่งกำลังและกันสะเทือน
ทุกรุ่นวางเครื่องด้านหน้า-ขับหน้า
ระบบกันสะเทือน
หน้า : แม็คเฟอร์สันสตรัท, เทเลสโคปิค แค็มเปอร์, คอยล์สปริง, กันโคลง
หลัง : อิสระ, เทเลสโคปิค แค็มเปอร์, คอยล์สปริง, แขนยึดแนวยาว 2 แขน, กันโคลง
ระยะห่างล้อหน้า-หลัง : ซีดาน 2,540 มม.คูเป้ 2,350 มม.
ระยะฐานล้อ : เท่ากันทั้งซีดานและคูเป้ คือ 1,405 มม. (หน้า) และ 1,390 มม. (หลัง)
เบรค : ดิสค์ 4 ล้อ ลูกสูบคาลิเปอร์ หน้า 45 มม. หลัง 34 มม. ระบบไฮโดรลิค 2 วงจร, หม้อลม
บังคับเลี้ยว : แร็คแอนด์พีเนี่ยน เพาเวอร์ ZF ในบางรุ่น
น้ำหนัก : ซีดาน 1,085 กก.
คูเป้ 990 กก.
ท้อปสปีด : ซีดาน 2,000 : 185 กม./ชม.
คูเป้ 2,000 : 195 กม./ชม.
h