คมชัดลึก ก๋วยเตี๋ยวเส้นเล็กเสี่ยงตับไตพัง เติมสารกันบูดเกินมาตรฐานอื้อ
28 สิงหาคม 2550 00:39 น.
ผลวิจัยชี้เส้นก๋วยเตี๋ยวมหาภัย เติมสารกันบูดเกินมาตรฐานอื้อ โดยเฉพาะเส้นเล็ก เส้นหมี่ เสี่ยงตับไตพัง เผยบะหมี่เหลือง-วุ้นเส้นปลอดภัยกว่า แนะผู้ประกอบการอย่าโลภผลิตขายข้ามจังหวัดจนต้องใส่สารกันบูดจำนวนมาก
เส้นก๋วยเตี๋ยวที่เป็นที่นิยมรับประทานกันอย่างแพร่หลายนั้น ล่าสุดมีผลวิจัยออกมาว่า มีการใช้สารกันบูดเกินกว่าเกณฑ์มาตรฐาน ซึ่งส่งผลต่อตับและไตของผู้บริโภค เมื่อวันที่ 27 สิงหาคม ที่อาคารอิมแพ็ค คอนเวนชั่น เซ็นเตอร์ เมืองทองธานี ในการประชุมวิชาการกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ ครั้งที่ 15 ประจำปี 2550 มีการนำเสนอผลการวิจัย “ค___ด__นเ_นก๋_เตี๋ยว ในเขตภาคอีสาน ซึ่งดำเนินการวิจัยโดยศูนย์วิทยาศาสตร์การแพทย์อุบลราชธานี ร่วมกับสำนักงานสาธารณสุขจังหวัด เขต 14
ภญ.วรวิทย์ กิตติวงสุนทร ผอ.ศูนย์วิทยาศาสตร์การแพทย์อุบลราชธานี กล่าวว่า ก๋วยเตี๋ยวเป็นอาหารที่คนไทยนิยมบริโภค และเส้นก๋วยเตี๋ยวเป็นวัตถุดิบที่ใช้ปรุงอาหารได้หลายชนิด ทำให้มีการแข่งขันทางการตลาดสูง จากก๋วยเตี๋ยวส่วนใหญ่เป็นเส้นสดที่ค้างหลายวันไม่ได้ ผู้ประกอบการมีการเติมสารกันบูด หรือสารกันเสียเพื่อยืดอายุเส้นก๋วยเตี๋ยวทำให้ยืดระยะเวลาการจำหน่าย ซึ่งสารกันบูดที่นิยมใช้คือ กรดเบนโซอิกและกรดซอร์บิก ถ้าร่างกายได้รับปริมาณสูงเป็นเวลานานจะทำให้ประสิทธิภาพการทำงานของตับและไตลดลง ดังนั้น คณะกรรมการกำหนดมาตรฐานอาหารสากล (Codex) ได้กำหนดให้ใช้กรดเบนโซอิกในเส้นก๋วยเตี๋ยวได้ไม่เกิน 1,000 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัม
ผอ.ศูนย์วิทยาศาสตร์การแพทย์อุบลราชธานี กล่าวว่า ตอนแรกมีการสำรวจเฉพาะใน จ.อุบลราชธานี พบว่าใช้กรดเบนโซอิกและกรดซอร์บิกในปริมาณเกินกว่าเกณฑ์มาตรฐาน จึงสำรวจในพื้นที่อื่นๆ เพิ่มเติม โดยเก็บตัวอย่างเส้นก๋วยเตี๋ยวที่มีแหล่งผลิตและจำหน่ายในเขต 14 ได้แก่ จ.อุบลราชธานี อำนาจเจริญ ยโสธร และศรีสะเกษ ระหว่างเดือนมีนาคม-กันยายน 2549 จำนวน 92 ตัวอย่าง แบ่งเป็นก๋วยเตี๋ยวเส้นเล็ก เส้นใหญ่ 11 ตัวอย่าง เส้นหมี่ 3 ตัวอย่าง เส้นบะหมี่ 8 ตัวอย่าง กวยจั๊บเส้นใหญ่ 5 ตัวอย่าง กวยจั๊บเส้นเล็ก 4 ตัวอย่าง วุ้นเส้นและวุ้นเส้นสด 24 ตัวอย่าง บะหมี่โซบะ 2 ตัวอย่าง เส้นแก้ว 1 ตัวอย่าง หมี่ซั่ว 3 ตัวอย่าง หมี่เตี๊ยว 2 ตัวอย่าง บะหมี่หยก 4 ตัวอย่าง บะหมี่ฮกเกี้ยนดิบ 1 ตัวอย่าง ก๋วยเตี๋ยวเส้นเล็กแห้ง 4 ตัวอย่าง เส้นใหญ่แห้ง 2 ตัวอย่าง และก๋วยเตี๋ยวเซี่ยงไฮ้ 3 ตัวอย่าง
ภก.วรวิทย์ กล่าวต่อว่า ผลการตรวจวิเคราะห์พบปริมาณกรดเบนโซอิกตั้งแต่ 1,079-17,250 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัม และเมื่อเทียบกับปริมาณที่กำหนดกรดเบนโซอิกในเส้นก๋วยเตี๋ยวตามมาตรฐานสากล พบตัวอย่างเกินเกณฑ์มาตรฐานจำนวน 34 ตัวอย่าง ในตัวอย่างก๋วยเตี๋ยวเส้นเล็ก 12 ตัวอย่าง เส้นใหญ่ 9 ตัวอย่าง เส้นหมี่ 3 ตัวอย่าง กวยจั๊บเส้นใหญ่ 5 ตัวอย่าง กวยจั๊บเส้นเล็ก 4 ตัวอย่าง และบะหมี่โซบะ 1 ตัวอย่าง โดยก๋วยเตี๋ยวเส้นเล็กพบปริมาณกรดเบนโซอิกสูงสุด 17,250 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัม และพบว่าเป็นตัวอย่างจากแหล่งผลิตภาคอีสานจำนวน 26 ตัวอย่าง และแหล่งผลิตนอกภาคอีสานจำนวน 8 ตัวอย่าง ทุกตัวอย่างไม่พบกรดซอร์บิกแต่อย่างใด
กพบปริมาณกรเบนโซอิกสูงสุด 17,250 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัม รองลงมาเป็นก๋วยเตี๋ยวเส้นหมี่ 7,825 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัม กวยจั๊บเส้นใหญ่ 7,358 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัม กวยจั๊บเส้นเล็ก 6,305 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัม บะหมี่โซบะ 4,593 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัม และก๋วยเตี๋ยวเส้นใหญ่ 4,230 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัม ภก.วรวิทย์ กล่าว
ผอ.ศูนย์วิทยาศาสตร์การแพทย์อุบลราชธานี กล่าวว่า จากผลวิจัยดังกล่าวทำให้ความเชื่อเดิมที่คิดว่าเส้นหมี่ซึ่งมีลักษณะแห้งจะมีวัตถุกันเสียน้อย แต่จะพบมากในเส้นใหญ่ที่มีความชื้นสูงนั้น ข้อเท็จจริงปรากฏว่า กลับมีการใส่วัตถุกันเสียเยอะมากเป็นอันดับ 2 รองจากเส้นเล็ก ส่วนเส้นที่ไม่พบสารเลยคือ เส้นบะหมี่เหลืองเพราะผลิตจากแป้งสาลี ส่วนเส้นอื่นๆ จะผลิตจากแป้งข้าวเจ้าที่มีความชื้นสูง ทำให้ราขึ้นง่าย จึงมีการใส่วัตถุกันเสีย ขณะที่วุ้นเส้นไม่มีปัญหาเช่นกัน
"การวิจัยนี้ไม่ได้ตั้งใจทำให้คนแตกตื่น หรือทำลายอุตสาหกรรม แต่เป็นการวิจัย เพื่อเตรียมแก้ไขปัญหาและสร้างความปลอดภัยในอาหารตามนโยบายกระทรวงสาธารณสุข เพราะเมื่อคิดค่าเฉลี่ยน้ำหนักผู้บริโภคคนไทย คือ 50 กิโลกรัม ดังนั้นปริมาณสูงสุดที่ควรบริโภคคือไม่เกิน 250 มิลลิกรัมต่อวัน ซึ่งการกินก๋วยเตี๋ยว 1 มื้อ จะมีเส้นประมาณ 50-100 กรัม เท่ากับว่าผู้บริโภคจะได้รับกรดเบนโซอิกประมาณ 226-451 มิลลิกรัม ซึ่งจะส่งผลต่อสุขภาพในระยะยาว และเมื่อรวมกับปริมาณวัตถุกันเสียในอาหารอื่นๆ ที่กินในแต่ละวัน เท่ากับว่าผู้บริโภคจะได้รับสารนี้จำนวนมาก แม้การตรวจวิเคราะห์ในครั้งนี้จะทำเฉพาะในเขต 14 แต่คาดว่าเส้นก๋วยเตี๋ยวทั่วประเทศจะมีปัญหาไม่น่าแตกต่างกัน" ภก.วรวิทย์ กล่าว
ภก.วรวิทย์ กล่าวถึงข้อเสนอแนะในการแก้ไขปัญหาว่า ผู้ประกอบการจะต้องไม่โลภ เอาเปรียบผู้บริโภค ควรผลิตจำหน่ายในพื้นที่ ไม่ใช่ส่งขายชนิดข้ามจังหวัด ข้ามไปภาคอื่นๆ เช่น ผลิตที่มหาชัย จำหน่ายที่อุบลราชธานีซึ่งต้องใช้เวลาการขนส่งนาน ทำให้เส้นก๋วยเตี๋ยวที่ผลิตมีระยะเวลาการจำหน่ายที่สั้นลง ทำให้ต้องใช้สารกันบูด นอกจากนี้ ยังควรพัฒนาเทคโนโลยีการผลิตด้วยการควบคุมอุณหภูมิในช่วงบรรจุเส้นก๋วยเตี๋ยว ใช้บรรจุภัณฑ์ควบคุมความชื้น ซึ่งจะทำให้เส้นสามารถเก็บได้เป็นสัปดาห์ โดยไม่เสียง่าย ซึ่งจะเพิ่มต้นทุนการผลิตเพียงเล็กน้อยกิโลกรัมละไม่ถึง 1 บาท และสุดท้ายคือ ควรใช้วัตถุกันเสียชนิดอื่นๆ ทดแทน ซึ่งศูนย์วิทยาศาสตร์การแพทย์กำลังศึกษาอยู่เพื่อเป็นทางเลือกให้ผู้ประกอบการ