คลายเครียดกับบทความเบาๆ
Manassiri Peusakondha
เคยมีคนถามเหมือนกันว่าใช้ Test CD อะไร ตอนไปเพ่นพ่านแถวร้านติดตั้งที่คุ้นเคย หรือเอาไว้เทสท์ซีสเต็มที่บ้าน ในรถตัวเอง ผมก็ได้ตอบไปว่าส่วนใหญ่จะเป็นเพลงทั่วไป ที่ตัวเองคุ้นหู ชอบ รู้ความหมาย และมีความหลังกับมัน ซึ่งก็มักจะโดนถามต่อไปว่าแล้วไอ้เพลงที่พี่ว่า ซึ่งผมเห็นกองอยู่แถวหลังรถนี่คุณภาพมันจะใช้ได้หรือครับ ไม่เห็นจะมีอะไรน่าสนใจในแง่ชื่อเสียงในหมู่ออดิโอไฟล์ คุณภาพการอัดก็งั้นๆ จะได้มาตรฐานหรือครับ ฯลฯ เหล่านี้คือสิ่งที่รบกวนประสาทผมมาก เกิดขึ้นมาประมาณสามสิบกว่า ปีที่แล้ว ตั้งแต่เข้ามาอยู่ในวงการนักเขียนเครื่องเสียงรถยนต์(แบบฟลุ้กๆ ถึงได้อยู่นาน)นี้
จริงๆแล้วผมก็ไม่ใช่ว่าจะไม่รู้เรื่อง ไม่เคยสัมผัส ไม่เคยเป็นเจ้าของ “Medium” ฟอร์แม็ทต่างๆ ที่อ้ายหมอนั่นและอีกหลายๆหมอที่ถามด้วยความฉงน แกมสีหน้าเยาะๆ หลายฟอร์แม็ทในนั้นบางคนในบรรดาหมอนั่นยังไม่เกิดด้วยซ้ำ !!! เช่นตอนเรียนป6. มีวันหนึ่งคุยกับเพื่อนรุ่นน้องที่เป็นลูกเจ้าของตลาดใหญ่แห่งหนึ่งย่านดอนเมือง ซึ่งที่บ้านใช้เครื่องเสียง Fisher ของอเมริกาแล้วอยากไปฟัง ตอนวันเสาร์ผมก็หนีบแผ่น Mary Hopkin ชุด Post Card ที่หน้าปกเธอแต่งสูทดำ ปล่อยผมทอง เป็นใบหน้าที่สวยหวานมาก แผ่นของ Kyo Sakamoto ที่ร้อง Sukiyaki รวมทั้งแผ่นทดสอบเครื่องเสียงของ OKI ซึ่งพ่อผมเอามาจากไหนไม่รู้ ไปเล่นที่บ้านเพื่อนคนนี้ นี่น่าจะเป็น Test LP ชุดแรกในชีวิตผมกระมัง พอมายุคแคสเส็ทท์เทป ตอนหลังนี่เขามีเทปทดสอบต่างๆออกมามาก ใหม่ๆผมก็มีกับเขาเหมือนกันเพราะใครๆเขาก็มี แต่พบว่าเปิดอยู่ไม่ก็ครั้งก็จะเก็บซุกๆไว้และหายไปในที่สุด เป็นอย่างนี้ทุกครั้ง เหตุผลคือไม่ได้มีความชอบในเพลงเหล่านั้น ทั้งแนว ตัวคนเล่น ชนิดของเครื่องดนตรีที่เล่น ภาษา เชื้อชาติ แถบ/ย่านที่อยู่อาศัย ฯลฯ ที่รวมกันออกมาเป็น “องค์รวม” ของมัน แต่ที่สำคัญที่สุดเพลงที่คนในวงการเขานิยมนำมาทดสอบนั้นไม่ได้มีความหลังอะไรกับผม
คำว่าเพลงสำหรับผมนั้นมันมีภาพครับ เป็นภาพของตัวผมเอง บ้าน สัตว์เลี้ยง ถนน รถเมล์ เพื่อน ครู ของเล่น พ่อ แม่ ญาติ อากาศ อุณหภูมิ ชุดที่ใส่ บรรยากาศของกรุงเทพและต่างประเทศเป็นฉากหลัง และทุกเพลงที่ผมเลือกจะชอบนั้นจะทราบความหมายของมัน อาศัยดิคชันนารีพูดได้ที่เวลา “เขาทั้งสอง” อยู่เมืองไทยก็จะยินดีแปลให้ฟังไม่มีอิดออด ทำให้เด็กประหลาดอย่างผมมี “ภาพประกอบเพลง” ติดตามาจนทุกวันนี้ อย่างเพลง Knock knock who’s there? ของ Mary Hopkin ในอัลบั้ม Those were the days ผมยังจำเนื้อร้อง ความหมาย ภาพที่นึกตาม ภาพของคืนนั้นได้จนทุกวันนี้ ซึ่งก็ใช่จะดีเสมอไป เพราะหลายครั้งที่มันกลายเป็นกรงขังที่ดึงผมกลับไปภาพนั้น อารมณ์นั้นอยู่เสมอ หลายครั้งที่สลัดไม่หลุด ไม่เกิดการรับรู้ในอารมณ์อื่นก็มี
ผมพอจะรู้มาตรวัดคุณภาพเครื่องเสียงอยู่บ้างเหมือนกัน(เมื่อพูดอย่างถ่อมตัว) หลายครั้งมาตรวัดเหล่านั้นสะท้อนกลับมาที่ “ภาพ” ครับ เมื่อฝรั่งเขาตีกรอบการเล่น การฟัง การวัดมาให้เรา เขาก็จะให้คำจำกัดความออกมาเป็นคัมภีร์เพื่อให้มาตรฐานมันไม่เบี่ยงเบนออกจากที่เขาหมายถึงมาก เอาแค่ภาพอย่างเดียวนี่ผมจะลองไล่ให้ดู(ขอเป็นภาษาฝรั่งบ้างนะครับ) : Stereo, Quadraphonic, Delay, Reverberation, Image, Sound Stage ทั้ง Rear Stage, Front Stage, Front Stage/Rear-fill, Mid Stage ไล่ไปถึง Ambience, Surround, Time Alignment จนถึงพวก Sound Processor ทั้งหลาย นี่ว่ากันสดๆนะครับ ถ้าจะเอากันจริงๆยังมีอีกเยอะ ทั้งหมดนี่คุณพิจารณาดูดีๆคือการสร้างภาพจากเสียงทั้งนั้นนะครับ
ภาพเหล่านี้เขาพร่ำสอนกันมาแล้วเราก็ปฎิบัติตาม ถูกต้องแล้วครับ เป็นมาตรฐานระดับโลกซึ่งไม่มีประโยชน์ หรือทำให้เราเท่ห์ตรงไหนถ้าไปทำเก่งแหกคอกเขา มิติใดที่ขาดไปท่านทราบไหมครับ มิติของภาพในใจท่านไงครับ ผมไม่เคยเห็นว่ามีบทความไหน ตำราใดแตะตรงนี้ เราคิดขึ้นเองได้ครับ ผมว่านักเล่นเครื่องเสียงที่บ้าจริงๆหลายคนเข้าใจ รู้ถึงความหมายที่ผมกล่าวมานี้ แต่เก็บไว้ในใจ นักทดสอบ นักวิจารณ์หลายคนระดับอาจารย์ เซียน อยากเป็นเซียนบ้านเราก็คงคิดได้ น่าเข้าใจได้ลึกซึ้งกว่าผม และน่าจะเขียนออกมาให้พวกเราได้อ่านกันบ้าง การเข้าไปเล่น ไปสัมผัสตรงนี้มีความเป็นนามธรรมเต็มรูปแบบ การจะเข้าภวังค์ได้ จำต้องสามารถแปลงนามธรรมให้กลายเป็นรูปธรรม ซึ่งต้องอาศัยปัจจัย 4 ตัวคือ
1. การสั่งสมที่ไม่ได้เกิดขึ้นแบบประเดี๋ยวประด๋าว-มีความเป็น Collective ที่ต้องการเวลาบ่มเพาะนานเหมือนกัน ไม่มีข้ามขั้น
2. จินตนาการเต็มใบ บรรเจิด อย่าสร้างข้อจำกัด หรือกลัวบ้า
3. การเข้าใจในความหมาย ความเป็นมา เป็นไป
4. เครื่องช่วย
5. การเป็นตัวของตัวเอง
จบตอนแรกเท่านี้ก่อนครับ