Author Topic: " จับผิด อิจฉา แตกสามัคคี "  (Read 2215 times)

0 Members and 1 Guest are viewing this topic.

Offline auseebkk

  • Verified Member
  • Member
  • *****
  • Join Date: Jun 2007
  • Posts: 3,056
  • Country: th
  • Gender: Male
  • Last Login:November 25, 2014, 07:07:28 am
๓๑ พฤษภาคม ๒๕๕๑

เรื่อง ขอความกรุณาเผยแผ่บทความ ' จับผิด ริษยา แตกสามัคคี ' ผ่านช่องทางสื่อสารมวลชน

เรียน สื่อมวลชนทุกแขนงและประชาชนทุกท่าน

สิ่งที่ส่งมาด้วย บทความชุด ' จับผิด ริษยา แตกสามัคคี ' โดยพระมหาวุฒิชัย วชิรเมธี ( ท่าน ว.วชิรเมธี )

เนื่องด้วยสถานการณ์บ้านเมืองของประเทศไทยในทุกวันนี้ เสี่ยงต่อการเกิดวิกฤติการณ์ทางการเมืองเป็นอย่างสูง พระมหาวุฒิชัย วชิรเมธี ( ท่าน ว.วชิรเมธี ) ผู้อำนวยการสถาบันวิมุตตยาลัย พระ -นักเทศน์ นักเขียน นักคิด และนักวิชาการผู้มีความปรารถนาดีต่อสังคมไทย จึงมีความเห็นว่า ถึงเวลาแล้ว ที่เราคนไทยทุกภาคส่วนควรที่จะหันหน้าเข้าหากัน ประนีประนอม และเตือนสติซึ่งกันและกันก่อนที่ความขัด -

แย้งทั้งหลายจะทวีความรุนแรงมากยิ่งขึ้น ด้วยเหตุนี้ ท่าน ว.วชิรเมธี จึงได้เขียนบทความพิเศษ ในชื่อ ' จับผิด ริษยา แตกสามัคคี ' เพื่อเป็นเครื่องมือในการช่วยเตือนสติชาวไทยให้เกิดความสามัคคี ไม่แบ่งแยกฝักฝ่าย ทั้งนี้เพื่อความศานติและความสงบสุขของชาติ ศาสน์ กษัตริย์ เป็นสำคัญ

ด้วยเหตุนี้ทางสถาบันวิมุตตยาลัย จึงขอความกรุณาท่านสื่อมวลชนทุกท่านและทุกแขนง ในการเผยแผ่บทความดังกล่าวออกสู่สายตาสาธารณชน เพื่อประโยชน์อย่างมหาศาลอันจะเกิดขึ้นต่อสังคมไทย ในการสร้างสรรค์สังคมไทยให้เป็นสังคมที่อุดมด้วยบรรยากาศแห่งความสมานฉันท์และศานติ



ขอแสดงความนับถือ

ชินวัฒน์ ชนะหมอก

นายชินวัฒน์ ชนะหมอก

( เลขานุการสถาบันวิมุตตยาลัย )

……………………………………………………………………………………………………….



บทความพิเศษ ชุด "ถอดสลักความรุนแรงในสังคมไทย"

จาก สถาบันวิมุตตยาลัย : สถาบันการศึกษาเพื่อพัฒนาศักยภาพแห่งการตื่นรู้สู่อิสรภาพ

……………………………………………………………………………………………………….



จับผิด ริษยา แตกสามัคคี



ว.วชิรเมธี

ผู้อำนวยการสถาบันวิมุตตยาลัย



สังคมไทยก้าวมาอยู่บนปากเหวของความรุนแรงในระดับใกล้เกิด "สงครามกลางเมือง" อีกครั้งหนึ่งแล้ว ไม่น่าเชื่อว่า เวลาเพียงปีเดียวที่เราผ่านการรัฐประหารมาอย่างสงบ แต่แล้วเพียงปีถัดมา ทุกอย่างก็หมุนวนกลับมาเริ่มต้นที่เดิมอีกครั้งหนึ่ง

ต้องนับว่า ศักยภาพที่จะทำลายล้างกันเองนั้น เป็นศักยภาพพิเศษของคนไทยจริงๆ

วัฏจักรแห่งความรุนแรงในสังคมไทยเกิดขึ้นจากสาเหตุที่หมักหมมสั่งสมมานาน เข้าลักษณะ "เหตุหลากหลาย ปัจจัยอเนก" คือ สามารถวิเคราะห์สาเหตุของความรุนแรงกันได้จากหลายหลักคิด หลายทฤษฎี ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับว่า มองจากมุมไหนเป็นสำคัญ ในที่นี้ ผู้เขียนจะไม่เสียเวลาวิเคราะห์สาเหตุของความรุนแรงที่นำพาเรามาถึงวันนี้ เพราะเราพูดกันมามากพอแล้ว แต่อยากจะพูดถึง "ปรากฏการณ์" ที่เรากำลังเผชิญกันอยู่ในเวลานี้มากกว่า

นั่นคือ ณ วันนี้ คนไทยทะเลาะกันจนก่อให้เกิดภาวะ "จับผิด ริษยา แตกสามัคคี" กันไปทั่วทุกหย่อมหญ้า

"จับผิด" คือ คนไทยแทบทุกภาคส่วนถูกผลักให้เลือกข้าง จนกลายเป็นพวกสุดโต่ง ไม่ขวาก็ซ้าย ไม่บวกก็ลบ ไม่พลังประชาชน ก็พันธมิตร ทั้งๆ ที่ก่อนหน้านี้ เราอยู่กันมาอย่างสนิทสนมกลมเกลียว และยอมรับความหลากหลายของคนไทยได้อย่างเป็นเรื่องสามัญ แต่ครั้นมาถึงเวลานี้ จะโดยรู้ตัวหรือไม่รู้ตัวก็ตาม เราคนไทยล้วนถูกผลักให้เลือกข้างกันเรียบร้อยแล้ว สิ่งที่ตามมาหลังการเลือกข้างก็คือการ "ตั้งธงเอาไว้ในใจ" หมายความว่า เวลาที่เรามองฝ่ายตรงกันข้ามกับเรา เราไม่ได้มองเขาด้วยสายตาแห่งไมตรีอย่างที่เคยมองกันและกันอีกต่อไป ยามนี้ เรามองใครที่ไม่ใช่ฝ่ายเรา ด้วย "อคติ" คือ คิดว่า เมื่อเลือกที่จะยืนอยู่ตรงข้ามกับฉัน อะไรๆ ก็ตามที่คุณทำ ที่คุณศรัทธา ที่คุณเทิดทูน ล้วนแล้วแต่ "ผิด" หรือ "มีวาระซ่อนเร้น" กันทั้งนั้น การที่เราปล่อยให้ตัวเองตกลงไปในหลุมพรางแห่งอคติ (ความลำเอียง) ทั้ง ๔ ประการ คือ

(๑) ฉันทาคติ ลำเอียงเพราะรัก (พวกเดียวกับฉัน ก็ต้องช่วยกันไว้ก่อน)

(๒) โทสาคติ ลำเอียงเพราะชัง (เกลียดมันเข้าไส้)

(๓) โมหาคติ ลำเอียงเพราะหลง (ตัวเรา/พวกเรา ดีที่สุด-ถูกที่สุด)

(๔) ภยาคติ ลำเอียงเพราะกลัว (ถ้าเราไม่จัดการเขา เราก็จะถูกเขาจัดการ)

Offline auseebkk

  • Verified Member
  • Member
  • *****
  • Join Date: Jun 2007
  • Posts: 3,056
  • Country: th
  • Gender: Male
  • Last Login:November 25, 2014, 07:07:28 am
ทำให้เราสูญเสียศักยภาพในการที่จะใช้ปัญญาอย่างเป็นกลาง และนั่นคือต้นทางที่นำเราเข้าสู่การ "จับผิด" คนที่เห็นไม่ตรงกับเรา ไม่ใช่พวกเรา ไม่ว่าเขาจะทำอะไร เราจะโยนบาปให้เขาล่วงหน้าเอาไว้เสมอ การมีโลกทัศน์เช่นนี้ ทำให้เรามองเพื่อนมนุษย์ในลักษณะ "สถิต" คือ เขาไม่มีทางที่จะเปลี่ยนแปลงตนเองเป็นคนที่ดีขึ้นมาได้เลย ลงว่า เราตั้งธงเอาไว้ในใจแล้วว่า คนอย่างนี้คือคนเลว ทั้งๆ ที่ในความเป็นจริง เขาอาจไม่เป็นเช่นนั้น หรืออาจเคยเป็นเช่นนั้น แต่มันเป็นอดีตไปแล้ว การที่เรามองใครในลักษณะจับผิดล่วงหน้า มองหาแต่ด้านลบของเขาอยู่ตลอดเวลา ทำให้เราไม่สามารถรัก หรือให้อภัย และ/หรือให้โอกาสกับคนที่อยู่ข้างหน้าเราได้อีกเลย ผลของการมีทัศนะเชิงจับผิดเพราะมีธงแห่งการมองโลกในแง่ลบอย่างนี้อยู่ในใจก็คือ เราได้เพาะเมล็ดพันธุ์แห่งความเกลียดชังให้กับคนไทยมากมาย ซึ่งบางทีเขาไม่ได้เป็นคนเลว ไม่เคยทะเลาะกับเรา ไม่เคยรู้จักเรา เขาเพียงแต่เห็นไม่ตรงกับเรา และเลือกศรัทธาในลัทธิ พรรค บุคคล ที่ต่างกับเราเท่านั้น แต่เพราะวิธีมองโลกของเรานั้นเป็นลบ คนดีๆ มากมายซึ่งอยู่ตรงหน้าเรา ก็ได้ถูกป้ายสีให้เป็นคนเลวไปหมดแล้ว ด้วยท่าทีการมองโลกเช่นนี้เอง ในวันนี้ สังคมไทยของเราจึงเต็มไปด้วยบรรยากาศของ "ความเกลียดชัง" และเมื่อมันถูกกระตุ้นบ่อยๆ ก็คงจะต้องเกิดสงครามกลางเมืองเข้าจนได้ไม่ชั่วโมงใดก็ชั่วโมงหนึ่ง (ไม่นับเป็นวัน เพราะสถานการณ์นั้นตึงเครียดชนิดต้องจับตาดูกันเป็นรายชั่วโมง)



"ริษยา" คือ เมล็ดพันธุ์ของความรุนแรง ซึ่งแฝงฝังอยู่แล้วในใจของเราทุกคน (หากขาดสติ) อาการของความริษยา คือ เห็นคนอื่นได้ดีแล้ว ทนอยู่ไม่ได้ หรือรับไม่ได้หากเห็นใครก็ตามที่อยู่ตรงกันข้ามกับเรา "ได้ดีมีสุข"

ริษยานั้น เป็นกิเลสตระกูลโทสะ

โทสะ ก็คือ ความรุนแรงที่เราเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า ความโกรธ หรือความรู้สึกอยากทำลาย ทำร้าย ประหัตประหาร เข่นฆ่าราวี และทำลายล้างให้ตายตกไปตามกัน ในเมืองไทยนั้น น่าสังเกตเป็นอย่างมากว่า กิเลสที่ชื่อ "ริษยา" ค่อนข้างกัดกินคนไทยมากมาย เข้มข้นกว่ากิเลสชนิดอื่นๆ สังคมไทยจึงเป็นสังคมที่ "ใช้คนดีเปลือง- ใช้คนเก่งเปลือง" หมายความว่า เห็นใครดี ใครเก่งขึ้นมาเป็นต้องหาวิธี "สกัดดาวรุ่ง" เอาไว้ก่อนเสมอ แทนที่เห็นใครเก่งขึ้นมา ใครดีขึ้นมา จะช่วยกัน "ส่งเสริม" กลับพากันหาวิธี "ส่งศพ" (ภาษาล้านนา แปลว่า ผลักเข้าป่าช้า) คนเก่งๆ คนดีๆ ในเมืองไทย จึงรวมตัวกันไม่ค่อยติด ทำงานเป็นทีมด้วยกันไม่ค่อยได้ เพราะเราหายใจเป็นความริษยาตาร้อน จนมันได้กลายเป็นวัฒนธรรมอย่างหนึ่งซึ่งซึมลึกลงไปในสายพันธุ์ของคนไทยไปแล้ว

เรื่องความริษยานี้ พลตรีหลวงวิจิตรวาทการ เคยเขียนเป็นกวีนิพนธ์เอาไว้เมื่อนานมากแล้วว่า

"อันที่จริงคนเขาใครให้เราดี

แต่พอเด่นขึ้นทุกทีเขาหมั่นไส้

จงทำดีแต่อย่าเด่นจะเป็นภัย

ไม่มีใครอยากเห็นเราเด่นเกิน"

หากเราคนไทย ไม่ยอมให้ใครได้ดีเลย เราก็คงจะต้องทะเลาะกันต่อไปอย่างไม่รู้จบสิ้น หากเราคนไทยไม่มีน้ำใจเป็นนักกีฬาที่รู้แพ้รู้ชนะเลย ในอนาคตอันใกล้ เราคนไทยก็คงต้องหันปลายกระบอกปืนมาเข่นฆ่ากันเอง

"แตกสามัคคี" อาการแตกสามัคคีนั้น เป็นผลลัพธ์ของการจับผิด ริษยา ที่กล่าวมาข้างต้นนั่นเอง หมายความว่า เมื่อเราคอยแต่จะจับผิดใคร เราก็มองไม่เห็นความดีของคนๆ นั้นอีกต่อไป เมื่อมองไม่เห็นว่าเขาเป็นคนดี เราจึงรู้สึกเกลียดชังเขาไปโดยอัตโนมัติ และเมื่อพานเกลียดชังแล้ว เรื่องอะไรที่เราจะยอมให้คนเลวๆ (ตามการทึกทักตั้งธงของเราเอง) เช่นนั้นได้ดี และเมื่อไม่อยากเห็นใครได้ดี เราก็คงไม่มีโอกาสที่จะทำงานร่วมกันได้อีกเลย (=แตกสามัคคีโดยสมบูรณ์) พอแตกสามัคคีแล้ว วิกฤติทุกชนิดก็พร้อมใจกันเคลื่อนพลเข้าสู่หมู่คณะ หรือสังคม หรือแม้กระทั่งประเทศได้อย่างง่ายดาย

เช่นเดียวกับเมื่อครั้งพระเจ้าอุทุมพร (ขุนหลวงหาวัด) และพระเชษฐาธิราช แตกสามัคคีกัน ในสมัยกรุงศรีอยุธยาตอนปลาย แม้ทั้งสองพระองค์ จะเป็นพี่น้องกัน แต่เมื่อแตกสามัคคีกัน เพราะต่างฝ่ายก็ระแวงในกันและกันเสียแล้ว สุดท้าย ก็เลยเปิดช่องให้พม่ายกทัพเข้ามายึดกรุงศรีอยุธยาได้อย่างง่ายดาย

การเสียกรุงเพราะแตกสามัคคีครั้งนั้น ทำให้ชาวอโยธยาสิ้นชาติ เมื่อสุนทรภู่ไปเยี่ยมกรุงเก่า เห็นสภาพปรักหักพังของเมืองฟ้าอมรแห่งนั้นแล้วเกิดความสังเวชสลดใจ จึงบันทึกไว้ด้วยความหดหู่ว่า

"กำแพงป้อมขอบคูก็ดูลึก

ไม่น่าอ้ายข้าศึกเข้ามาได้

ยังปล่อยให้ข้ามเข้าเอาเวียงชัย

โอ้กระไรเหมือนบุรีไม่มีชาย"

บาทที่ว่า "ยังปล่อยให้ข้ามเข้าเอาเวียงชัย" นี้ลึกซึ้งมาก ความหมายระหว่างบรรทัดก็คือ หากเรา "ไม่ปล่อยให้..." หรือหากเราไม่ "แตกสามัคคี" กันเอง พม่าจะทำอะไรกรุงศรีอยุธยาได้

กรุงศรีอยุธยาแตกไม่มีชิ้นดี ไม่ใช่เพราะไม่มีทแกล้วทหาร หากแต่แตกคราวนั้น เพราะเรา "แตกสามัคคี" กันเป็นการภายในอยู่ก่อนแล้ว

กรุงเทพฯ ประเทศไทย ที่บรรพบุรุษของเราสู้อุตส่าห์สร้าง สืบสาน ส่งต่อ และสั่งสมความศิวิไลซ์กันมาจนกลายเป็นประเทศที่นานาอารยชาติให้การยอมรับนับถือ จะต้องมาแตก ล่มสลาย ทำลายล้างกันเอง เพียงเพราะเรา "แตกสามัคคี" ตามรอยกรุงศรีอยุธยาอีกครั้งในยุคสมัยของเรากระนั้นหรือ ?

พอเสียทีได้ไหม ?

เลิก "จับผิด ริษยา แตกสามัคคี"

หันมา "จับตาดู (อย่างไม่มีอคติ) มุทิตา (เมตตา) สามัคคี" กันดีไหม ?

"จับตาดู มุทิตา สามัคคี"

เพียงสามวลีแค่นี้ หากทำได้ เราอาจไม่ต้องมีรัฐประหาร เราอาจไม่ต้องฆ่ากันตายด้วยฝีมือคนไทยด้วยกันเองเหมือนที่ผ่าน

Offline 02lism.

  • Verified Member
  • Member
  • *****
  • Join Date: Mar 2008
  • Posts: 2,239
  • Country: 00
  • Gender: Male
  • Last Login:May 18, 2021, 11:09:36 am
สามัคคี

 เท่านั้นครับ ที่ช่วยได้

Offline Face Off

  • Verified Member
  • Member
  • *****
  • Join Date: Oct 2007
  • Posts: 620
  • Gender: Male
  • Last Login:August 14, 2018, 10:42:13 pm
    • www.hondahut.com
 :good:

Offline vat-69

  • Verified Member
  • Member
  • *****
  • Join Date: Dec 2006
  • Posts: 449
  • Gender: Male
  • Last Login:May 09, 2016, 07:14:25 pm
 :angel: :angel: :angel:
ผู้ใดทำใจให้ถึงความเป็นกลางได้
ผู้นั้นจะพ้นจากทุกข์ทั้งปวง

Offline crown71

  • ยังไง..ยังไง..ก็ คราว์น
  • Verified Member
  • Member
  • *****
  • Join Date: Mar 2007
  • Posts: 801
  • Gender: Male
  • Last Login:April 18, 2015, 06:06:43 am
    • www.littledeaw.com
สามัคคี       3 คำ   จำง่ายๆ แต่ทำกันไม่ได้ซักที .....เหอ
littledeaw ออกแบบงานภายใน อสังหาริมทรัพย์ ทุกรูปแบบ และสภาพแวดล้อมโดยรวม www.littledeaw.com

Tags:
 

* Permissions

  • You can't post new topics.
  • You can't post replies.
  • You can't post attachments.
  • You can't modify your posts.




Facebook Comments