บทความพิเศษ 1
เกียรติประวัติ “DATSUN Safari” The 510: “Plao-Loy” รุ่นที่ 3 แห่ง Bluebird
ถ้าคุณเป็นคนบ้ารถที่เพิ่งเข้ามาติดตามวงการรถแข่งแรลลี่โลกไม่เกินยี่สิบปีมานี้ “หวานใจ” ของคุณคงไล่จากพวก Audi Quarttro, Ford Escort RS 200, Toyota Celica GT Turbo, Nissan 240 RS, Mitsushi Lancer Evo รุ่นต่างๆ จนถึง Subaru Impreza อันไล่จากช่วงต้นยุค 80’s จนยุคนี้ คุณอาจนึกไม่ถึงว่า “รากเหง้า” ของรถแข่งแรลลี่โลกสมัยก่อนมันมีรูปร่างหน้าตาแบบใด เขาใส่เทคโนโลยีเข้าไปมากน้อยขนาดไหน ปัจจุบันรถเหล่านั้นตายจากวงการไปหมดแล้ว หรือยังมีพวกบ้านำมันมาแต่งย้อนยุครวมตัวเป็นก๊วนเป็นคลับต่างๆ ยังมีของเล่นของแต่งหลงเหลืออยู่หรือไม่ในวันนี้
รถแข่งแรลลี่โลกสมัยซัก 30 กว่าปีที่แล้วนั้นแตกต่างจากปัจจุบัน เห็นชัดๆ คือ มีความเป็นรถบ้านเดิมๆ ค่อนข้างมาก นำมาแต่งเพิ่มเติมเล็กน้อย เน้นที่ช่วงล่างให้ทนทานกับเครื่องยนต์ให้ไหลลื่นขึ้น หานักขับท้องถิ่นที่ชำนาญสภาพทางและ “อึด” กับภูมิอากาศ หาพันธมิตรท้องถิ่นเพื่ออาศัยเครือข่ายเซอร์วิสและความช่วยเหลืออำนวยความสะดวก ก็นำมาลงแข่งได้แล้ว ยกตัวอย่าง Peugeot 504 ที่ค่อนข้างจะมาเดิมๆ อย่างในการแข่งซาฟารีนี่แทบจะเอารถโชว์มาติดเบอร์แล้วแข่งได้เลย Volvo 144 S, Austin Mini Cooper S ก็เช่นกัน
วันนี้ผมจะมาคุยย้อนกลับไปสามสิบกว่าปีเพื่อรู้จักกับรถรุ่นหนึ่งที่มีเกียรติประวัติในซาฟารีน่ายกย่องในความพยายามของนักแข่ง, การสนับสนุนจากโรงงานแม่และสมรรถนะของตัวรถเอง โดยส่วนตัวแล้วเห็นว่ารถรุ่นนี้กลายเป็นตำนานไปแล้ว คือ นอกจากจะประสบความสำเร็จในการแข่งแรลลี่แล้ว ตัวมันเองยังได้ “แปลงกาย” ไปเล่นทางเรียบกับเขา แถมยังได้รับชัยชนะในหลายสนาม เช่น TransAm 2-5 ที่เป็นการแข่งที่ถือว่ามีชื่อมากที่สุดแห่งหนึ่งในสหรัฐอเมริกาและของโลก ในประเภทลุยฝุ่นนั้นคู่แข่งที่สำคัญของมันมีทั้ง “อาเฮีย” ในค่ายเดียวกันคือ Datsun 240 Z ในยุคต้นๆ อีกทั้งยังมี “อาตี๋” ที่ติดตามออกมา เช่น Datsun 610 “1800-SSS”, 2000 GT, 2000 GT, 2000 GT-X แล้ว ยังมี Ford Escort RS 1600 MK I, Escort Mexico 1.6, Mitsubishi Galant GS-A II, Mitsubishi Lancer 1600 GSR, Peugeot 504 ส่วนทางเรียบนั้นพิกัดของมันดันโคจรไปเจอ Alfa Romeo 1600-2000 GT Veloce, BMW 1602-2002 Tii, Ford Escort 1600-1800 BDA, ซึ่งเดี๋ยวอั๊ว เอ๊ย...กระผมจะรวบรวมให้ท่านทราบ
อีกสิ่งที่พิสูจน์ความยิ่งใหญ่ของมันทุกวันนี้คือ ชมรมคลับต่างๆ ทั้งในยุโรป, อเมริกา, ญี่ปุ่นและออสเตรเลียที่ยังเล่นกันอยู่ มีของเล่นทั้งจาก Nismo และนักโมดิฟายอิสระออกขายต่อเนื่อง มีหนังสือแนะนำทริคการโมดิฟายบล็อค “L-16” ของมันหลายสิบเล่ม มีตำราการจูนปรับแค็ม, Weber, SU, การใส่ “หอย” ฯลฯ ให้กับ Datsun 510 มากมาย
ในบ้านเราเคยมีนำมาเล่นทางเรียบกับเขาเหมือนกันที่จำได้สีดำทั้งคันมีลายเปลวเพลิงขอบล้อของ “แก้ว” เสริมศักดิ์ จงประเสริฐ แต่บ้านเรานิยมไปเล่น Datsun Sunny Coupe ตัวเล็กที่วางเครื่อง A-12 มากกว่า ซึ่งทั้ง “แก้ว” เองและ “น้าฉัตร” ก็มีคนละคันที่ใช้แข่งคือ สีดำและเหลือง ตามลำดับ Datsun 510 อาจไม่ประสบความสำเร็จนักในบ้านเรา เลยทำให้นักเล่นรถที่ไม่ค่อยอ่านหนังสือเมืองนอก หันไปเล่นรถญี่ปุ่นยี่ห้ออื่นกันหมด เอาล่ะเกริ่นมานานมากแล้วผม เอ๊ย...กูขอเข้าเรื่อง Datsun 510 เลย ณ บัดนี้
DATSUN 510 : หนึ่งในโคตรพ่อรุ่นที่ 3 ของ Bluebird
ช่วงที่ผมยังเด็กวิ่งเลี้ยงควายอยู่แถวดอนเมืองนั้น จังหวัดพระนคร (ชื่อกรุงเทพฯ สมัยนั้น) มีแท็กซี่วิ่งแล้ว เป็น Austin สีเทาๆ ทึมๆ ที่นิยมกันมาก ถ้าจำไม่ผิดน่าจะเป็นรุ่น A 40 ซีดานหรือไงเนี้ย พอยุคแท็กซี่ Austin เสื่อมก็จะมีอ้าย Datsun Bluebird สีฟ้าๆ เข้ามาวิ่งแทน เป็นยี่ห้อเดียวครองตลาดก่อนที่ Toyota Corona จะเข้ามาบ้าง นั่งนุ่ม เครื่องเงียบมาก เกียร์มือ มิเตอร์อยู่ตรงกลาง เบาะหน้าตอนเดียวสีฟ้าๆ ทั้งเบาะหน้าและเบาะหลังเจ้าของอู่มักจะเอาพลาสติคใสมาหุ้มนั่งลื่นตูดและร้อนดีแท้ มารู้ตอนหลังว่ามันคือ Datsun Bluebird รหัส 410-พ่อของ 510
จริงๆ แล้วอั๊ว เอ๊ย...กระผมเองก็เคยเห็น Datsun คันเล็กๆ ที่ออกมาก่อน 410 เหมือนกันคลับคล้ายคลับคลา เป็นทรงมนๆ ป้อมๆ ใส่ยางขอบขาวรูปทรงออกไปคล้ายรถ Moris, Austin ของอังกฤษ มาค้นดูตอนหลังถึงรู้ว่ามันคือ Datsun 310 ต้นตระกูลที่แท้จริงของแฟน Bluebird นั่นเอง ออกมาดูโลกในปี พศ.2502 หรือ คศ.1959 ในเดือนสิงหาคม นับว่าตรงกับเดือนปีตกฟากของกู เอ๊ย..กระผมพอดีราวปาฏิหาริย์ นี่เป็นข้อมูลจากแหล่งหนึ่งแต่จากการซุกซนส่วนตัวไปค้นดูจากแหล่งอื่นพบว่าก่อนหน้า Bluebird 310 นั้น Datsun เองได้ทำรถรุ่น 110, 111, 112 และ 210 ออกมาด้วย เพียงแต่ไม่ได้พะนามสกุล Bluebird เข้าไป จึงเรียนมาเพื่อทราบ
เจ้า 310 นั้นนอกจากจะมีสไตล์อนุรักษ์ตามแบบ Austin อังกฤษแล้ว ตัวเครื่องยนต์เองก็ซื้อเทคโนโลยีมาจาก Austin จึงมีรูปร่างหน้าตา มิติ สัดส่วนเหมือนๆ กัน เป็นยุคแห่งการเรียนรู้ทางลัดของญี่ปุ่น ก่อนจะลอกเลียนและพัฒนาให้ดีขึ้น อันเป็น Japanese Learning & Knowledge Management Style เครื่องของ DATSUN ในยุคนั้นทำออกมา 2 บล็อคด้วยกันคือ บล็อค C 1 (988 ซีซี. 37 แรงม้า) กับบล็อค E (1189 ซีซี. 48 แรงม้า) ทั้งคู่เป็นโอเวอร์เฮดวาล์ว คาร์บูเดียว
จากตำนานพื้นบ้านทุ่งลาดพร้าวบอกด้วยว่าทาง Datsun ได้ลองนำ Bluebird 310 นี้ส่งเข้าไปขายในตลาดยูเอสกับเขาด้วย ทั้งๆ ที่รู้อยู่ว่าโปรดัคท์ดีไซน์มันไม่ได้ทั้งขนาดที่เล็กมีเฮดรูม, เลกรูมน้อยไม่เหมาะกับสรีระคนอเมริกัน ในตลาดบ้านตัวเองนั้น Datsun ก็ได้ออก Deluxe Version ของ 310 สู่ท้องตลาดเป็นรุ่น DP 310 จนในปี 1960 และ 1961 ก็ได้ออกรุ่น 311 และ 312 ดังนั้นจะกล่าวว่าพวกรหัส “3” นี่เป็นต้นกำเนิดรุ่นแรกของตระกูล Bluebird ก็ว่าได้
มาถึง Bluebird 410 ซึ่งเป็นเจนเนอเรชั่นที่ 2 นั้น ตะกี้บอกไว้บ้างว่าคือ แท็กซี่สีฟ้าๆ ที่วิ่งอยู่เมื่อเกือบสี่สิบปีก่อน คราวนี้เปลี่ยนจาก “British-Copied” มาเป็น “Italian Design” ทั้งแท่ง โดยฝีมือของพินินฟารีน่า จากรูปจะเห็นว่าแม้จะเป็นทรง 3 กล่อง แต่ก็ลบเหลี่ยมคมด้วยโค้งละมุนมีความสวยงามราวกับ Alfa Romeo Giulia Saloon คนละเรื่องกับตอนก๊อปปี้อังกฤษ 410 นั้นถูกวางเครื่อง 1.0 ลิตร บล็อค C 1 ที่เอามาจาก 310 รวมทั้งได้ทำตัวแรง 2 คาร์บู 1.2 ลิตร (1,189 ซีซี.สุทธิ) จากบล็อค E 1 ที่ได้มา 60 แรงม้า สำหรับพวกที่ชอบปรู๊ดปร๊าดเพิ่มขึ้นหน่อย ออกวางจำหน่ายในปี 1963 และมีเวอร์ชั่นเปิดประทุนและแวก้อนอีกด้วย ถัดจากนั้นปีเดียว Datsun ได้พัฒนาเครื่องบล็อค J 13 ขึ้นมาเป็น 2 คาร์บู OHV ได้มา 77 แรงม้า สำหรับรุ่น 410 SS (Super-Sport) เจ้า 410 มาโดนไมเนอร์เชนจ์เล็กน้อยในปี 1965 กลายเป็น 411 ที่เปลี่ยนแค่กระจังและไฟหน้า พร้อมทั้งวางเครื่องบล็อค J 13 ขนาด 1,300 ซีซี.ที่มี 2 คาร์บู แต่ไม่รีดเค้นแรงม้านัก เอาแค่ 67 ตัวไว้ใช้งานทั่วไป
แฟน Datsun คงจะรอว่าเมื่อไหร่ไอ้รหัส “3 เอส” (ที่บ้านเราชอบเรียก) หรือ SSS จะโผล่เข้ามาเยี่ยมเยียนในสาระบบของ Bluebird เสียที บอกเลยก็ได้ว่า Bluebird มี SSS ครั้งแรกในปี 1965 กลายเป็น “411 SSS” ที่วางเครื่องบล็อค R ขนาด 1.6 ลิตร คาร์บูคู่ 96 แรงม้า ที่ยืมมาจากรุ่นสปอร์ตโรดสเตอร์ ทำให้วิ่งแตะ 160 กม./ชม.เป็นครั้งแรก
สมัยก่อนนั้นช่วงที่อั๊ว เอ๊ย...ผมดำเนินไปโรงเรียนโดยเดินบ้าง, รถโรงเรียนบ้าง นอกจากจะเห็นพวกรถ Peugeot 304/404, Motis Marina, Toyopet แล้วยังมีรถญี่ปุ่นยี่ห้อ “Prince” วิ่งให้เห็นบ้างด้วยรูปร่างแบนๆ ดูก็รู้ว่าไม่ค่อยมีสกุลรุนชาตินัก ไอ้ Prince นี่ตอนหลังก็ผกผันเพราะโดน DATSUN ซื้อควบกิจการมาตั้งแต่ปี 1966 การควบกิจการแบบ Merger&Acquisition นี้เป็นการก้าวกระโดดในแง่ระบบ, การบริหารและเทคโนโลยี อย่าง Prince นั้นมีข้อดีในแง่ความรู้ทักษะเชิงวิศวกรรม แต่ด้อยที่การบริหารเชิงธุรกิจ มีรถที่ Prince เคยสร้างชื่อและสลายตัวกลายเป็น Datsun/Nissan รุ่นปัจจุบันก็มี เช่น ตระกูล “Skyline” ในยุคนั้น Prince ได้ใช้วิชานินจาแอบ “แกะท่าร่าง” บล็อค OHC จาก Mercedes เป็นการใหญ่ จนสำเร็จออกมาเป็นบล็อค OHC ของตนเองที่มีโกร่งพูลเลย์โซ่งอก อยู่ด้านหน้าคล้ายเครื่องเบ๊นซ์หางปลาและแตงโม โดยเฉพาะตัวเครื่อง 2,000 ซีซี.ของ Prince ที่ต้องพัฒนาเป็นบล็อค L-20 ของ Datsun ก็นำนวัตกรรมนี้จาก Prince มาต่อยอดและเริ่มวางใน Cedric ตั้งแต่ปลายยุค 60’s สำหรับเรื่องเทคโนโลยีการออกแบบ, สร้างตัวถัง Prince ก็ทำได้ไม่เลวในแง่การทำได้เบาแต่แกร่ง จากเทคนิคด้านเครื่อง OHC และบอดี้พวกนี้เองคือ พื้นฐานของ Datsun 510 ที่นำมาจากโรงงาน Prince
กลับมาที่ตัว 411 พอมาถึงปี 1966 ก็รู้จักดิสค์เบรคหน้าเป็นครั้งแรก และใส่อ๊อพชั่นเข้าไปให้ล่อใจน่าซื้อมากขึ้นตามลักษณะรถญี่ปุ่น แต่ก็ไม่มีอะไรน่าจดจำมากกว่านี้