มาต่อกันดีกว่า....
ไม่ว่าช่วงล่างไหน ใช้หลักการเดียวกันหมด อ่ะ...เรามาดูรูปกันต่อ รุปนี้เป็นรูปของ strut suspension บ้านๆของเราเนี่ยแหละ และเราจะพิจารณาข้างเดียวเพื่อให้มันเข้าใจง่ายขึ้น จริงๆแล้วการหา RC เนี่ย มันมีปัจจัยจากช่วงล่างทั้งสองฝั่ง แต่เอาแค่นี้จะได้เข้าใจง่ายๆ
จากที่กล่าวไว้เมื่อกี้ เวลาเราเลี้ยว จะมีแรงกระทำผ่านจุด CG ของรถเสมอ และแรงนี้จะทำให้เกิด moment torque แต่ทีนี้เรามาเอาจุด RC มาเกี่ยวข้องแระ ชื่อของมันก็บอกอยู...ROLL CENTER คือจุดที่รถมันหมุนนั่นเอง เมื่อมีแรงกระทำจากจุด CG จะทำให้รถมันโคลงหรือหมุนที่จุดนี้
จากรูป เส้นที่ลากจากด้านบนคือเส้นสมมติที่ลากผ่านหัวเบ้าโช้ก เส้นนี้จะตั้งฉากกับแกนโช้กเรา และเส้นนี้จะเปลี่ยนแปลงเป็น dynamic ตลอดเวลา เพราะฉะนั้นเวลารถเราเข้าโค้งเส้นนี้จะเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอด
ส่วนเส้นล่างคือเส้นสมมติ ที่ลากผ่านแนวของปีกนกเรามา สองเส้นที่กล่างมาจะไปตัดกันที่จุดไดจุดหนึ่งที่เรียกว่า instantaneous center
สมมติจุด CG จะกระทำที่กึ่งกลางรถ แต่จริงๆแล้วไม่ได้เป็นอย่างนั้น เพราะช่วงล่างและรถเกิดการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา แต่สรุปให้มันอยู่กับที่จะได้เข้าใจง่ายๆล่ะกัน ทีนี้จุด RC มันมายังไงล่ะ....ให้ลากเส้นจากจุดกึ่งกลางล้อไปตัดที่จุด instantaneous center แล้วจุดที่เส้นนี้ตัดกับ chassis centerline นั่นแหละคือจุด RC มีปัจจัยหลายๆอย่างที่มีผลกระทบต่อเจ้าจุด RC นี้ และเราต้องพิจารณาปัจจัยเหล่านั้นเสมอ ตัวอย่างง่ายๆเช่น ล้อกว้างๆ หรือการที่เราเปลี่ยนค่า offset ของล้อ ทำให้ระยะ king pin offset เปลี่ยน
เพิ่มเติมนิดนึง เจ้า king pin offset เนี่ย คือระยะจุดหมุนดุมล้อจนถึงกึ่งกลางล้อ ยิ่งมากทำให้เกิด moment torque ที่จุดดุมล้อมาก เป็นที่มาของเวลาทำมเปลี่ยนล้อกว้างๆแล้วมันดึงซ้ายดึงขวา นอกจากดึงแล้วมันยังส่งผลกระทบต่อจุด RC อีกตะหาก แต่ไม่มากเท่าการโหลดของช่วงล่าง
จะเห็นว่ารูปแรกนั้นรถไม่ได้โหลดลงมามาก ด้านปลายปีกนกไม่ได้ชี้ฟ้าเท่ารุปที่สอง ฉะนั้น moment arm A1 มันจะสั้นกว่า A2 ยิ่ง moment arm ยาวเท่าไหร่ มันก็ยิ่งโคลงมากขึ้นเท่านั้น
เราจึงสรุปได้ว่า ถึงแม้รถจะเตี้ยติดดินแล้วก็ตาม ทำไมบางครั้งมันยังโคลงมากกว่าปกตินั่นเอง เราจึงต้องมาพิจารณาการใช้งานของเรา จุกประสงเราเป็นแบบไหน เพื่อหล่อ เพื่อแข่งขัน ฯลฯ และต้องใช้ให้ถูกจุดประสงค์ของเรา โดยปกติการโหลดนั้นดี แต่ถ้ามากไปมันไม่ส่งผลดีเสมอ
ที่นี้จะมีคำถามตามมาว่า ถ้าเราใช้สปริงแข็งขึ้นล่ะ จะได้ลดอาการโคลง คำตอบคือได้ แต่เราจะใช้สปริงแข็งเกินความจำเป็นทำไมล่ะ ยิ่งแข็งยิ่งกระดอน และเมื่อยิ่งกระดอน หน้ายางไม่สัมผัสพื้นเต็มๆ มันจะไปเกาะได้อย่างไร นอกจากนั่งไม่สบายแล้วยังไม่เกาะอีกตะหาก ช่วงล่างที่ดีต้องมี suspension compliance บ้าง คือต้องสามารถซับแรงกระทำต่างๆของทั้งรถเองและจากหลุมบ่อตามท้องถนนได้
ข้อเสียอีกอย่างของการโหลดมากๆนั้นคือ camber curve จะหายไป เอาไว้เดี๋ยวมาเล่าเรื่อง camber curve เมื่อว่างๆล่ะกันนะ และเมื่อโลหดมากๆ สิ่งที่ตามมาก็คือ bump steer คือเวลาช่วงล่างยุบตัวลง มันไม่ได้ยุบเฉยๆนะ แต่มันจะพา steering arm เราเปลี่ยนไปด้วย ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของมุม toe มาก ก็เลยส่งผลให้ stability ของรถเสียตามไปด้วย
เคยสังเกตช่วงล่างรถแข่งมั๊ยครับ รถแข่งจริงๆนะที่เป็นแบบ fully adjustable suspension น่ะ ว่าปีกนกเค้าเนี่ยด้านปลายจะตกหรืออย่างน้อยคือขนานกับพื้นเสมอ จุดยึดปีกด้านในเค้าก็จะพยายามให้สูงเท่าที่ทำได้อีก พวกดุมล้อของรถแข่งก็เหมือนกัน จุดยึดระหว่างปีกด้านบน และปีกด้านล่าง เค้าจะทำให้ใไหญที่สุดที่ทำได้เพื่อรองรอบ torque ที่เกิดขึ้นจาก transient force ต่างๆที่เกิดขึ้นเวลาเลี้ยง เค้าไม่ได้ทำเพื่อให้เกิดการทนทานอย่างเดียว แต่ทำให้เกิสิ่งที่เรียกว่า controlled suspension geometry คือมุมช่วงล่างๆต่างๆเป็นไปตามที่เค้าคำนวนหมด
เหนื่อยแระ เริ่มตาลายจากการพิมนานๆ สงสัยเราแก่แล้วแฮะ
หลายๆคนอาจจะสงสัยว่า ถ้าอย่างนั้นผมจะโหลดรถทำไมเยอะแยะ อยากให้มันเตี้ยติดดิน คำตอบผมก็คือ เพราะจุดประสงค์ผมเป็นอย่างนั้น theme คันนี้คือออก retro โหลดแป๊กดินดิน ผมไม่ได้้สนใจเรื่องการเกาะถนนมากมาย เพราะลำพังโหลดแป๊กคงขับเร็วมากๆไม่ได้อยู่แล้ว แต่ที่ผมเลือกช่วงล่างแบบ coilover และปรับ bump rebound ได้ เผื่อว่าผมนึกสนุกอยากเอารถกลับไปลงสนามขับสนุกๆ ผมก็ยังมีโอกาสทำได้ เพราะ basic suspension ผมมันพร้อมทุกอย่างแล้ว เพียงแค่เปลี่ยนล้อ ยกรถให้สูง ปรับช่วงล่างใหม่ ก็ไปขับเล่นในสนามได้แล้ว ผมจึงเน้นเรื่อง basic พื้นฐานต่างๆให้ดีก่อนเสมอ พอเราอยากจะเปลี่ยนอะไร มันก็ทำง่ายแล้ว เพราะพื้นฐานอะไรๆเราก็พร้อม