Topic: .. .. มาใหม่ .. !!

[Lovely]

... ...                  ... ...

[Lovely]

เปิดตัวกันไปแล้วเมื่อวานนี้สำหรับ Mitsubishi Lancer EX ที่หลายคนรอคอย กับเครื่องยนต์ทางเลือก 1.8 และ 2.0 ลิตร
 
ที่สามารถใช้กับพลังงานทางเลือกอย่าง แก๊สโซฮอล์ E85 ได้สำหรับรุ่นเครื่องยนต์ 1.8 ลิตร โดยมี 3 รุ่นย่อยให้เลือก
 
ในราคาเริ่มต้นที่ 8.31 แสนบาท ในขณะที่รุ่นท็อปสุดเครื่องยนต์ 2.0 ลิตร เคาะราคาเกินล้านที่ 1.034 ล้านบาท
 
บริษัท มิตซูบิชิ มอเตอร์ส ประเทศไทย จำกัด เปิดตัว “แลนเซอร์ อีเอ็กซ์ ใหม่” ชูจุดเด่นใช้พลังงานทางเลือกอย่าง แก๊สโซฮอล์ อี85
 
ในรุ่นเครื่องยนต์ 1.8 ลิตร FFV 139 แรงม้า ขณะที่ตัวท็อป 2.0 ลิตร เน้นความสปอร์ตอัดออปชันมาให้เพียบ กับราคาเริ่มต้น 8.31 แสนบาท – 1.034 ล้านบาท
 
ตั้งเป้า 6 เดือนขาย 4,000 คัน  สำหรับขุมพลังใหม่ 2 ทางเลือก ซึ่งไฮไลต์อยู่ที่ บล็อก 4B10 ขนาด 1.8 ลิตร FFV ถือเป็นรถยนต์เฟลกฟิวรุ่นแรกที่
 
ผลิตจำนวนมากเพื่อการขายในประเทศไทย รองรับได้ทั้งน้ำมันเบนซินและแก๊สโซฮอลล์ทุกชนิดจนถึง E85 ให้กำลังสูงสุดที่ 139 แรงม้า ที่ 6,000 รอบต่อนาที
 
แรงบิดสูงสุด 172 นิวตัน-เมตร ที่ 4,200 รอบต่อนาที
 
 

[Lovely]

ขณะที่บล็อก 4B11 ขนาด 2.0 ลิตร 4 สูบ 16 วาล์ว DOHC MIVEC รองรับทั้งเบนซิน 91 95 แก๊สโซฮอล์ E10
 
และ E20 ให้กำลังสูงสุด 154 แรงม้าที่ 6,000 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 198 นิวตัน-เมตร ที่ 4,250 รอบต่อนาที
 
โดยเครื่องยนต์ทั้งสองรุ่นยังผ่านมาตรฐานไอเสียระดับยูโร 4 ใช้เทคโนโลยีล้ำหน้า อย่างเสื้อสูบอะลูมิเนียม ฝาครอบวาล์วแบบพลาสติกพิเศษ
 
พร้อมโครงสร้างการวางท่อร่วมไอเสียไว้ด้านหลัง และการติดตั้งแผ่นสแตนเลสครอบท่อร่วมไอเสียโดยรอบเพื่อป้องกันความร้อน มาพร้อม MIVEC
 
ระบบวาล์วแปรผันที่ควบคุมการเปิด-ปิดวาล์วทั้งไอดีและไอเสียให้แปรผันสัมพันธ์กับอัตราเร่งในทุกๆ รอบเครื่องยนต์และทุกสภาพการขับขี่
 
จึงให้ทั้งสมรรถนะและการประหยัดน้ำมัน  ส่งกำลังด้วยเกียร์ CVT พร้อมติดตั้งระบบควบคุมการเปลี่ยนเกียร์อัจฉริยะ INVECS-III แบบ 6 จังหวะ
 
 
 

 

[Lovely]

แบบ 6 จังหวะ เติมเต็มอารมณ์สปอร์ต และเร้าใจด้วยฟังก์ชั่น Sport Mode ให้การปรับเปลี่ยนเกียร์ที่นุ่มนวลและแม่นยำ
 
เหมาะสมในทุกรอบความเร็วของเครื่องยนต์  ด้านช่วงล่างหน้าเป็นแบบอิสระแม็กเฟอร์สันสตรัท คอยล์สปริง พร้อมเหล็กกันโคลง
 
หลังแบบมัลติลิงก์พร้อมคอยส์สปริง และเหล็กกันโคลง ยิ่งไปกว่านั้นในรุ่น GT ยังมีการติดตั้งเหล็กค้ำโช้คหน้าช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการเข้าโค้ง
 
เมื่อใช้ความเร็วสูง  รูปลักษณ์โดดเด่นมากับเส้นสายที่สะท้อนความปราดเปรียว ล้ำสมัย ด้วยส่วนหน้าที่ลาดเอียงลงตามแบบฉบับรถเก๋งของมิตซูบิชิ
 
พร้อมกระจังหน้าใหม่ทรงสี่เหลี่ยมคางหมูรับกับกรอบไฟทรงเรียวยาว ซึ่งภายในเพิ่มประสิทธิภาพในการมองเห็นด้วยไฟแบบมัลติรี-เฟล็กเตอร์ แบบฮาโลเจน
 
สำหรับรุ่น GLS-Ltd. รุ่น GLS และ รุ่น GLX ส่วนไฟหน้าโปรเจ็คเตอร์ แบบไบซีนอน (Bi-Xenon) พร้อมระบบปรับระดับลำแสงไฟหน้าและระบบเพิ่มส่องสว่างด้าน
 
ข้างขณะเข้าโค้ง (AFS) จะมาในรุ่น GT

[Lovely]

ด้านหลังออกแบบให้โดดเด่นด้วยชุดไฟท้ายดีไซน์ใหม่ พร้อมจัดวางแนวเฉียงขึ้นช่วยให้เห็นได้ชัดเจนกว่าเดิม และด้วยรูปลักษณ์สไตล์
 
สปอร์ตนี่เองทำให้ แลนเซอร์ อีเอ็กซ์ มีให้ค่าสัมประสิทธิ์แรงเสียดทาน เพียง 0.29
 
ล้ออัลลอยในรุ่นเครื่องยนต์ 1.8 ลิตร FFV รุ่น GLS-Ltd. รุ่น GLS และรุ่น GLX ใช้ขนาด 16 นิ้ว ในขณะที่เครื่องยนต์ 2.0 ลิตร
 
รุ่น GT มาพร้อมล้ออัลลอย ขนาด 18 นิ้ว ใหญ่สุดในรถระดับเดียวกัน นอกจากนี้ในรุ่น GT รุ่น GLS-Ltd.
 
และ รุ่น GLS ยังมาพร้อมกระจังหน้าโครเมียม ไฟตัดหมอกหน้า และปลายท่อสเตนเลส พร้อมเสริมอารมณ์สปอร์ตให้กับรุ่น GT
 
ยิ่งขึ้นด้วยชุดแต่งสไตล์สปอร์ตรอบคัน และสปอยเลอร์หลังอีกด้วย ภายในห้องโดยสารมี 2 แบบ 2 สไตล์ ได้แก่ โมโนโทนสีดำสไตล์
 
สปอร์ตในรุ่น GT และ GLS-Ltd. และแบบทูโทน สีดำ-เบจในรุ่น GLS และ GLX ทั้งนี้
 
ในรุ่น GT และ GLS-Ltd. จะใช้เบาะหนัง พร้อมความอเนกประสงค์ของเบาะหลังที่สามารถพับแบบ 60:40 ได้

[Lovely]

สำหรับในรุ่นเครื่องยนต์ 2.0 ลิตร GT ติดตั้งระบบพวงมาลัยแบบมัลติฟังก์ชั่น สามารถเลือกปรับการใช้งานหลากหลาย
 
โดยไม่ต้องละมือจากพวงมาลัยเพื่อการควบคุมที่ดีกว่า ทั้งระบบควบคุมเครื่องเสียงที่ง่ายต่อการปรับ เลือกเพลงและระบบเสียง
 
ระบบควบคุมการเปลี่ยนเกียร์ (Paddle Shift) ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติ (Cruise Control)
     
เครื่องเสียงวิทยุซีดี MP3 แบบ 6 แผ่น พร้อมลำโพง 6 ตำแหน่งในรุ่น GT รุ่น GLS-Ltd. และ GLS ในขณะที่รุ่น GLX มาพร้อม
 
วิทยุซีดี MP3 แบบ 1 แผ่น พร้อมลำโพง 4 ตำแหน่ง ด้านจอแสดงข้อมูลอเนกประสงค์ขนาดใหญ่ เรืองแสงสีแดงแบบ LED
 
ง่ายต่อการอ่านและการใช้งานขณะขับขี่รถ ซึ่งเป็นอุปกรณ์มาตรฐานในทุกรุ่น แสดงผลข้อมูลได้หลากหลาย ทั้งความเร็วเฉลี่ย
 
ในการขับขี่ อัตราสิ้นเปลืองน้ำมันเชื้อเพลิงโดยเฉลี่ย ระยะทางขับขี่ที่เหลือจากปริมาณน้ำมันที่มีอยู่ในถังและระบบเตือน
 
การบำรุงรักษา อุณหภูมิเครื่องยนต์ อุณหภูมิภายนอกตัวรถ รวมไปถึงการเตือนต่างๆ เมื่อมีความผิดปกติของระบบต่างๆ

[Lovely]

นอกจากนี้ รถทุกรุ่นยังติดตั้งระบบอำนวยความสะดวกและปลอดภัยอัจฉริยะ Mitsubishi Motors ETACS
 
(Electric Total Automobile Control System) ซึ่งควบคุมระบบไฟฟ้าต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นระบบปิดไฟหน้าและไฟใน
 
ห้องโดยสารอัตโนมัติ ระบบสัญญาณกันขโมย ระบบกุญแจป้องกันการโจรกรรม (immobilizer) และระบบอิเล็กทรอนิกส์ต่างๆ
 
ภายในรถ พร้อมด้วยเบรก ABS และระบบกระจายแรงเบรกแบบอิเล็กทรอนิกส์ EBD ระบบเสริมแรงเบรก BA ถุงลมนิรภัย
 
ด้านคนขับและผู้โดยสารตอนหน้า ระบบเข็มขัดนิรภัยคู่หน้าแบบดึงกลับอัตโนมัติพร้อมระบบผ่อนแรง ทั้งยังเพิ่มประสิทธิภาพ
 
ในการเบรกด้วยดิสก์เบรกขนาดใหญ่ขึ้นเพื่อรองรับล้อขนาด 15 นิ้วขึ้นไป สำหรับรุ่น GLS-Ltd. รุ่น GLS และ GLX
 
และรองรับล้อขนาด 16 นิ้วขึ้นไปสำหรับรุ่น GT มิตซูบิชิ แลนเซอร์ อีเอ็กซ์ มี 4 รุ่นย่อย 5 สีให้เลือก ประกอบด้วย สีแดง
 
สีบรอนซ์เงิน สีบรอนซ์ทอง สีเทาดำ และสีดำ พร้อมราคาขาย 831,000 บาท ถึง 1,034,000 บาท…เริ่มจองแล้วตั้งแต่วันนี้
 
จากนั้นจะเริ่มทยอยลงโชว์รูมพร้อมขายอย่างเป็นทางการ 16 ตุลาคมเป็นต้นไป

[Lovely]

ราคา มิตซูบิชิ แลนเซอร์ อีเอ็กซ์
 
รุ่น ราคา(บาท)

1.8 MIVEC GLX 831,000

1.8 MIVEC GLS 886,000

1.8 MIVEC GLS-Ltd. 899,000

2.0 MIVEC GT 1,034,000
 
ที่มา: ผู้จัดการมอเตอริ่ง
Mitsubishi Lancer EX
                                           

[หลาน caravelle]

ไฟท้ายยังกะอัลฟ่าโรมิโด่ รุ่นนึ้ง

[หลาน caravelle]

http://www.langrod.com/news/news/2832.htm
 
สดๆจากไร่บุญรอด

[e-dad]

สวยดี...ตัวละกี่ตังค์

[Lovely]

http://www.langrod.com/news/news/2832.htm
 
สดๆจากไร่บุญรอด

 
 
 
น่าโดนเนอะ  .. ..                

[หลาน caravelle]

สวยดี...ตัวละกี่ตังค์

ตัวละกี่ตังค์มัน ปา'โก๋ เฮีย
 
ต้องถามว่าอันละกี่บาท

[Lovely]

Reva NXR และ NXG รถไฟฟ้าจากอินเดีย พร้อมระบบชาร์จไฟผ่านมือถือและ SMS
 
Reva บริษัทผู้ผลิตรถพลังงานไฟฟ้าจากอินเดีย เปิดตัวรถไฟฟ้า 2 รุ่น(3 รุ่นย่อย) คือ Reva NXG และ NXR (Intercity และ City)
 
ในงานมอเตอร์โชว์ที่แฟรงค์เฟิร์ต ซึ่งก่อนหน้านี้ Reva ได้สร้างความสนใจกับสื่อมวลชนโดยการประกาศ
 
จะเผยเทคโนโลยีชาร์จไฟผ่านโทรศัพท์หรือ SMS จนทำให้คาดเดากันว่าน่าจะเป็นเทคโนโลยีสุดไฮเทคที่อินเดียกำลังจะทำให้อุตสาหกรรมรถยนต์ตื่นตะลึง
 
ส่วนใหญ่คาดกันว่าจะเป็นการชาร์จไฟผ่านระบบไร้สายเหมือนๆการต่ออินเตอร์เน็ทผ่านโทรศัพท์มือถือนั่นเอง
 

[Lovely]

ก่อนจะไปถึงเรื่องที่เกริ่นมา ขอให้ข้อมูลเกี่ยวรถไฟฟ้าทั้งสองรุ่นนี้ก่อนครับ NXR Intercity หรือย่อมาจาก NeXt Reva เป็นรถไฟฟ้า
 
ขนาดเล็ก 4 ที่นั่งที่ขับเคลื่อนด้วยมอเตอร์ไฟฟ้าและชุดแบตเตอรี่สำรองไฟลิเธี่ยมอิออนที่ทันสมัย NXR มีระยะทำการ 160 กิโลเมตร
 
ต่อการชาร์จไฟจนเต็ม 1 ครั้ง และมีความเร็วสูงสุดอยู่ที่ 104 กิโลเมตร/ชั่วโมง เวลามาตรฐานในการชาร์จไฟคือ 8 ชั่วโมง แต่ถ้าใช้
 
จ่ายไฟแรงสูง เวลาก็จะลดเหลือเพียง 90 นาที และถ้าคุณต้องการใช้เวลาเพียง 15 นาทีในการชาร์จ ระยะทำการก็ยังได้มากถึง 40
 
กิโลเมตรเลยทีเดียว(ใช้แหล่งจ่ายไฟแรงสูง)

[Lovely]

นอกจากนั้นแล้ว NXR ยังมีระบบ Keyless Entry ปุ่มกดสตาร์ทเครื่อง และจอแสดงผลดิจิตอลอัจฉริยะ และที่กล่าวไปข้างต้น
 
รถรุ่นนี้(และรุ่นที่เหลือ)มีระบบ Telematics ที่มาพร้อมกับระบบแจ้งเตือนและออกคำสั่งผ่าน SMS ที่จะให้ข้อมูลเกี่ยวกับตัวรถ
 
เช่น ระยะทางที่จะเคลื่อนที่ไปได้จนไฟฟ้าหมด เวลาในการชาร์จไฟ การตรวจเช็คโหมดการขับประหยัดพลังงานประจำเดือนผ่าน email
 
ข้อมูลประกันภัย ระบบตรวจเช็คและซ่อมรถจากระยะไกล ระบบชาร์จไฟฉุกเฉินระยะไกลจาก Reva ฟังดูแล้วไฮเทคมากๆเพราะ
 
ทุกอย่างสามารถทำได้จากระยะไกลหรือจากศูนย์ควบคุมส่วนกลาง

[Lovely]

NXR Intercity จะเข้าสู่สายการผลิตในต้นปีหน้า และจะมีขายแบบไม่ต้องรวมแบตเตอรี่ด้วย(แบตเตอรี่จะมีค่าธรรมเนียมรายเดือน)
 
ในราคา 14,995 ยูโร ส่วน NXR City ที่ใช้แบตเตอรี่แบบตะกั่วและมีระยะทำการต่อการชาร์จไฟที่ 80 กิโลเมตร ติดป้ายขายไว้ที่
 
9,995 ยูโร(ไม่รวมค่าแบตเตอรี่)
 
ส่วนรุ่นท็อปอย่าง NXG (NeXt Generation) รถไฟฟ้า 2 ที่นั่งหลังทาร์ก้า ที่มีระยะทำการต่อการชาร์จไฟที่ 200 กิโลเมตร ความเร็ว
 
สูงสุด 130 กิโลเมตร/ชั่วโมง มีราคาขายอยู่ที่ 23,000 ยูโร ไม่รวมแบตเตอรี่เช่นกันครับ
 
ที่มา: Reva
 
Gizmag @ IAA 2009 - REVA unveils the NXR and NXG electric cars

[หลาน caravelle]

คันเขียวใน youtube บั้นท้ายหน้าเกลียดชะมัดเลย
ส่วนคันแดง น่าใช้ดีนะ
เสียดายไม่เห็นภายใน
 
ขอบคุณ น้องสนอำสั  หรือชื่อภาษาอังกฤษว่า Lovely

[Lovely]

A Glance at Reva New models NXR & NXG

[Lovely]

Renault ZE  ..                 
 
ตามแนวทาง Better Place ที่เป็นโปรเจ็กต์ร่วมทำงานภายใต้กรอบ Renault Nissan Alliance สำหรับกระตุ้นให้รถยนต์พลังไฟฟ้าได้รับความสนใจอีกครั้ง
 
ทางด้านเรโนลต์จัดการเผยต้นแบบของรถยนต์พลังไฟฟ้าที่จะส่งขายในเชิงพาณิชย์ในปี 2011 ออกมาแล้ว โดยเป็นการต่อยอดพัฒนามาจากต้นแบบรุ่นแกงกู บีบอป
 
ที่เปิดตัวในปารีส มอเตอร์โชว์ 2008
 
รถยนต์ต้นแบบรุ่นนี้ใช้ชื่อว่า Z.E หรือย่อมาจาก Zero Emission และจากการที่พัฒนาบนพื้นฐานของรถยนต์เพื่อการพาณิชย์ขนาดเล็กอย่างรุ่นแกงกู
 
ก็เลยทำให้ตัวรถมีความอเนกประสงค์และพื้นที่ใช้งานที่ค่อนข้างกว้างขวาง โดยตัวรถมีความยาว 3,871 มิลลิเมตร กว้าง 1,829 มิลลิเมตร สูง 1,812 มิลลิเมตร
 
และระยะฐานล้อ 2,313 มิลลิเมตร หนักในระดับ 1,591 กิโลกรัม หน้าที่ในการขับเคลื่อนเป็นมอเตอร์ไฟฟ้าที่มีขนาด 44 กิโลวัตต์ หรือ 60 แรงม้าสามารถหมุน
 
ได้ถึง 12,000 รอบ/นาที และแรงบิดสูงสุด 19.4 กก.-ม. ใช้แบตเตอรี่แบบลิเธียม-ไอออนขนาด 15kWh ซึ่งมีน้ำหนักประมาณ 250 กิโลกรัม
 
และตัวรถสามารถแล่นทำความเร็วสูงสุดได้ 130 กิโลเมตร/ชั่วโมง

[Lovely]

รถมีโหมดการชาร์จให้เลือก 2 แบบ คือ ธรรมดาแบบเต็มถังซึ่งใช้เวลา 6-8 ชั่วโมง หรือว่า Quick Charge ผ่านทางตัวเสียบแบบ 32A
 
400V three-phase ซึ่งกระแสไฟฟ้าจะมีอยู่ในแบตเตอรี่ 80% และใช้เวลาเพียงแค่ 30 นาทีเท่านั้น โดยเมื่อชาร์จแบตเตอรี่จนเต็ม
 
ตัวรถสามารถแล่นทำระยะทางได้ 160 กิโลเมตร ซึ่งเพียงพอสำหรับการใช้งานในเมืองต่อวัน ความจริงแล้วเรโนลต์ให้ความสนใจกับการ
 
พัฒนารถยนต์พลังไฟฟ้ามานานตั้งแล้ว และเริ่มเปิดโปรเจ็กต์การทำงานในเดือนมกราคม 2008 ซึ่งนำไปสู่การพัฒนาต้นแบบสำหรับจัด
 
แสดงในชื่อแกงกู บีบอปช่วงปลายปี ขณะที่ Z.E. ที่เห็นอยู่นี้เป็นต้นแบบที่ใกล้เคียงกับรุ่นจำหน่ายจริง ซึ่งมีคิวเปิดตัวขายปี 2011 และ
 
จะใช้ชื่อในการทำตลาดว่า แกงกู เอ็กซ์เพรสส์ Z.E.
 
โปรเจ็กต์ EV ของเรโนลต์ยังไม่หยุดแค่นี้ เพราะต่อจากนี้ก็จะหันเข้าสู่ตลาดรถยนต์นั่ง ด้วยการผลิตรถยนต์สำหรับการใช้งานส่วนบุคคลออกมาทำตลาด 3 รุ่น
 
ในช่วงปี 2011-2012 ส่วนจะมีรุ่นอะไรและใช้พื้นฐานของรถยนต์รุ่นไหนของเรโนลต์คงต้องติดตามดูกันต่อไป

ที่มา .. ผู้จัดการ .. ..             

[Lovely]

2008 Renault ZE Concept
 
                                           

[Lovely]

เปิดตัวแล้ว Nissan Ecocar March/Micra รถซุปเปอร์มินิ ชิงเผยโฉมที่ยุโรปตัดหน้าพี่ไทย 
 
 
 
เปิดผ้าคลุมโชว์ตัวกันไปแล้วที่งาน Geneva Motor Show สำหรับ Nissan Ecocar หรือใช้ชื่อรุ่นว่า Micra สำหรับตลาดยุโรป
 
ถือว่าเป็นการชิงตัดหน้าพี่ไทยที่กำลังจะเปิดตัวในวันที่ 13 มีนาคมที่จะถึงนี้ ณ เซ็นทรัลเวิร์ล โดยคาดกันว่า Nissan จะใช้ชื่อรุ่นว่า March
 
สำหรับสำหรับประเทศไทย แต่อย่างไรก็ตามต้องรอวันเปิดตัวสถานเดียวครับ เพราะข่าวที่ออกมาทางสื่อต่างๆทาง Nissan ประเทศไทยไม่ยืนยัน
 
ใดๆทั้งสิ้นนะครับ แม้แต่เรื่องของราคาขาย ที่หลุดออกมาทางตัวแทนจำหน่าย!!
 
 
  Nissan March หรือ Micra รุ่นนี้ใช้ V-Platform ใหม่ล่าสุดที่ทำให้จำนวนชิ้นส่วนที่ใช้ประกอบตัวรถลดลงอย่างมาก
 
โดย Nissan เตรียมใช้ฐานผลิตในไทย อินเดีย เม็กซิโก และจีน เพื่อผลิตและส่งออกไปยังตลาดต่างๆทั่วโลก
 
โดยในยุโรปจะมีเครื่องยนต์ทางเลือก 2 ชนิดคือ เครื่องยนต์เบนซิน 3 สูบ 1.2 ลิตร NA ให้กำลัง 80 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 108 นิวตันเมตร
 
อัตราการปล่อย CO2 สู่อากาศอยู่ที่ 115 กรัม/กิโลเมตร และรุ่นเครื่องยนต์เทอร์โบเบนซิน 1.2 ลิตร Direct Injection ให้กำลัง 98 แรงม้า
 
แรงบิดสูงสุด 142 นิวตันเมตร ส่วนอัตราการปล่อย CO2 สู่อากาศอยู่ที่ 95 กรัม/กิโลเมตร เป็นการพิสูจน์ว่า Ecocar รักธรรมชาติสมชื่อ!

[Lovely]

โดยรุ่นเครื่องยนต์ทั้งสองชนิดจะขับเคลื่อนผ่านเกียร์ธรรมดา 5 จังหวะ หรือเกียร์แปรผันต่อเนื่องหรือ CVT แบบใหม่ล่าสุด
 
 โดยฟังค์ชั่นการทำงานที่น่าสนใจของรถจิ๋วรุ่นนี้ก็คือ ระบบวัดระยะการจอด ที่มี 3 ระดับความสามารถ คือ มือใหม่หัดขับ
 
 ธรรมดา และขาเก๋า ทำให้ใครหลายคนที่กำลังจะซื้อรถคันนี้สบายใจได้ว่ามีระบบช่วยทำให้การเข้าจอดของคุณง่ายยิ่งขึ้น
 
นอกจากนั้นยังมีระบบนำทางแบบจอสัมผัส ระบบเครื่องเสียง และหลังคาแก้ว เรียกว่ามีอะไรน่าสนใจกว่าที่คาดไว้มากทีเดียว
 
Nissan March หรือ Micra รุ่นนี้จะเริ่มมีจำหน่ายในประเทศไทยเป็นแห่งแรกในโลกในเดือนนี้ ส่วนยุโรปจะเริ่มจำหน่ายในเดือน
 
พฤศจิกายนปีนี้เช่นกัน เรียกว่า เปิดตัวให้เห็นก่อนใครแต่สัมผัสได้เต็มๆหลัง Thailand นะจ๊ะ! 
 
ที่มา: Nissan
 
[Special]2010 Nissan March CM
 
                               

[Lovely]

Nissan March - 2010 (cm)
 
ราคาในญี่ปุ่น.. ..