ผมขอเล่าเหตุการณ์ที่ผ่านมาแล้วให้ฟังนิดนึงนะครับ
ผมได้บังเอิญไปรู้จักกับเพื่อนคนหนึงที่ไม่ค่อยสนิทมาก ชักชวนมาทำสีกับอู่เขา
บอกว่าทำดีอย่าโน้นอย่างนี้ ราคาก็เท่ากับอู่อื่นๆมาตรฐาน
แต่ผมไปอู่ เขาเป็นอู่ประกันที่ไม่ไหญ่มากเนื้อที่ประมาณ 50 ตรว
ช่างมี 2-3คน รถไม่ค่อยมีทำ ไอเราก็สงสารเห็นไม่ค่อยมีลูกค้า เลยตัดสินใจเอารถเข้ามาตีราคา เขาบอกว่าไม่เกิน1เดือนเสร็จ ราคาก็ตกลงทำสีปะผุที่5หมื่น ก็เลยokทำ
แล้วผมก็ให้เขาแปลงหน้าปัด พวงมาลัย ให้อยู่ในสภาพเดิมโดยผมเอาของทั้งหมดมาให้
แล้วเขาก็คิดค่าแปลงต่างหาก ผมก็จ่ายต่างหากไปไม่ได้รวมกับค่าสีรถแต่อย่างใด
สรุปสั้นๆว่าตอนรับรถ คิดค่าทำสีผม 1แสน ตอนรับรถ ผมก็งงเลย ตอนแรกตกลงกัน5หมื่น ไมกลายเปง1แสน รถผมก็ไม่ได้ปิ้งรถซะหน่อย เจ๊ทางเจ้าของอู่บอกว่าไปสืปราคามา
ทางอู่อื่นบอกว่ารถรุ่นนี้เขาทำกัน1แสนup (ปล ถ้ารถผมทำสีแบบอู่มาตฐานที่เขาทำกันจะยอมจ่ายให้หลอก แต่นี่ทำสีแต่ข้างนอกรถผมก็ไม่ได้ผุไรมากมาย ดูมานพูด)
สุดท้ายผมเลยขอแกลดราคาไห้หน่อย แกลดไห้ผมเยอะมาก เหลือ 98,600 บาท
ลดไปตัง 1,400 บาท ผมจึงไม่ยอมแต่ไม่มีหลักฐานการว่าจ้าง จึงเอาผิดทางอู่ไม่ได้
ผมเลยยอมจ้างทนาย ไปสู้คดีกันที่ศาล แต่ทางศาลได้ไห้เข้าห้องไกล่เกลี่ย
ยายเจ๊เจ้าของอู่ตัวแสบ จึงยอมลดไห้อีก1หมื่น เหลือ 88,600บาท ผมก็ok
ลดได้อีกหมื่น (แต่เสียค่าทนายไป 15,000บาท) สรุปให้รู้ว่า อย่าเอาเปรียบผู้บริโภค
ผมเสียค่าทำสีรถ+ค่าทนายแพงกว่าเดิมก็จริง แต่ทางอู่เขาก็ต้องเสียค่าทนายเหมือนกัน
สุดท้ายผมต้องยอมจ่ายเพราะ 1 เราไม่มีสัญญาคาจ้าง
2 การสืปพยานใช้เวลานานถึง1ปีหรืออาจจะ3ปี
3 ได้ไม่คุ้มเสียเพราะรถเราก็อาจถูกยึดหน่วงได้
ขอให้เพือ่นๆ พี่ๆน้องๆ ระวังเจอแบบผมนะครับ
ถ้าใครเข้ามาอ่านหรือกำลังทำสีก้ อย่าลืมขอใบเสร็จตกลงว่าจ้างการทำสีนะคับ
เพราะอาจจะเป็นประโยชน์ภายหลังไม่มากก็น้อยนะคับ