"อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ" ซึ่งตั้งเด่นสง่า ณ ศูนย์กลางของต้นทางหลวงถนนพหลโยธิน ช่วงถนนพญาไทบรรจบกับถนนราชวิถี กรุงเทพฯ เป็นอนุสาวรีย์ที่สร้างขึ้นเพื่อเทิดทูนวีรชนผู้สละชีพเพื่อชาติ และเพื่อเตือนใจชาวไทยให้ระลึกว่า ชาติไทยนั้น ดำรงความเป็นเอกราชและรักษาความเป็นชาติอยู่ได้ด้วยความกล้าหาญและเสียสละของบรรดาวีรชนนักรบไทยทั้งปวง อนุสาวรีย์แห่งนี้สร้างด้วยคอนกรีตเสริมเหล็กประดับศิลาอ่อน มีรูปทรงเป็นดาบปลายปืน ๕ เล่ม มีความสูงประมาณ ๕๐ เมตร รอบดาบปลายปืนมีรูปปั้นนักรบ ๕ เหล่า คือ ทหารบก ทหารเรือ ทหารอากาศ ตำรวจ และพลเรือน ยืนล้อมรอบอยู่ บริเวณใต้รูปปั้นมีแผ่นทองแดงซึ่งเป็นที่จารึกรายชื่อของผู้เสียชีวิตจากเหตุการณ์กรณีพิพาทระหว่างไทยกับอินโดจีนของฝรั่งเศส อันเป็นที่มาของการสร้างอนุสรณ์สถานแห่งนี้
กล่าวคือ ในปี พ.ศ. ๒๔๘๓ ในสมัยรัฐบาลของ จอมพล ป. พิบูลสงคราม ไทยได้เรียกร้องขอดินแดนคืนจากฝรั่งเศส ซึ่งฝรั่งเศสก็ได้เร่งรัดให้ไทยทำสัตยาบันไม่รุกรานฝรั่งเศสเป็นการตอบแทนตามที่ได้เคยทำสัญญาไว้ โดยสัญญาดังกล่าวจะมีผลบังคับใช้เมื่อแลกสัตยาบันกันเรียบร้อยแล้ว รัฐบาลไทยให้คำตอบว่ายินดีจะทำตาม หากฝรั่งเศสยินยอมยกดินแดนหลวงพระบางปากเซทางฝั่งขวาของแม่น้ำโขงคืนให้กับไทย และทำการปักปันเส้นเขตแดนในลำน้ำโขงให้เรียบร้อย และต้องรับประกันว่าจะยกประเทศลาว ซึ่งเป็นอาณาจักรของไทยมาแต่เดิมคืนให้กับไทยหลังจากที่พ้นจากการปกครองของฝรั่งเศส แต่ฝรั่งเศสตอบปฏิเสธข้อเสนอนี้ กรณีพิพาทจึงเกิดขึ้นและทวีความรุนแรงมากยิ่งขึ้น เมื่อฝรั่งเศสทำการทิ้งระเบิดที่จังหวัดนครพนม เมื่อวันที่ ๒๘ พฤศจิกายน ๒๔๘๓ และทางรัฐบาลไทยได้โต้ตอบด้วยการทิ้งระเบิดบ้าง จึงเป็นเหตุให้เกิดการปะทะกันด้วยกำลังทหารและอาวุธ จนกระทั่งรัฐบาลญี่ปุ่นได้เข้ามาไกล่เกลี่ยกรณีพิพาทให้ยุติลง ด้วยการตั้งกรรมการขึ้นเพื่อการประชุมทำสัตยาบันสันติภาพที่กรุงโตเกียว โดยฝรั่งเศสตกลงยอมยกดินแดนหลวงพระบาง ฝั่งขวาของแม่น้ำโขง นครจำปาศักดิ์ กับที่ท่าสามเหลี่ยมฝั่งขวา และอาณาเขตมณฑลบูรพาเดิมให้กับไทย
ผลจากกรณีพิพาทครั้งนี้ ประเทศไทยต้องสูญเสียทหารหาญผู้กล้าจำนวนถึง ๕๙ ราย อนุสาวรีย์แห่งนี้จึงถูกสร้างขึ้นเพื่อเป็นที่จารึกรายนามของทหารหาญเหล่านี้รวมถึงผู้กล้าที่เสียชีวิตในสงครามโลกครั้งที่ ๒ และสงครามเกาหลี จึงกล่าวได้ว่าอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิเป็นอนุสรณ์สถานแห่งการรำลึกถึงเกียรติคุณ และคุณงามความดีของทหารหาญผู้กล้าทั้งหลาย ที่ได้เสียสละเลือด เนื้อและชีวิต ในการปกป้อง เอกราชอธิปไตยไว้ให้ลูกหลานสืบไปชั่วนิรันดร์
และในวันทหารผ่านศึก ๓ กุมภาพันธ์ องค์การสงเคราะห์ทหารผ่านศึกจึงได้จัดให้มีพิธีวางพวงมาลา เพื่อเป็นการแสดงความคารวะต่อดวงวิญญาณของเหล่านักรบผู้กล้า ณ อนุสาวรีย์แห่งนี้เป็นประจำทุกปี