Author Topic: Pink Tender เนื้อหลากหลาย สีชมพูฉ่ำ สุกทั่วทั้งชิ้น !  (Read 2363 times)

0 Members and 1 Guest are viewing this topic.

Offline katip

  • Member
  • *****
  • Join Date: Mar 2013
  • Posts: 44
  • Gender: Male
  • Last Login:November 26, 2014, 10:33:42 pm
Pink Tender เนื้อหลากหลาย สีชมพูฉ่ำ สุกทั่วทั้งชิ้น !



“บรรยากาศภายในร้าน Pink Tender”




หากกำลังมองหาร้านเนื้อที่ดีและมีคุณภาพย่านบางนาลองมาที่ “Pink Tender” ร้านอาหารสไตล์ยุโรปที่ครีเอทเมนูฟิวชั่นที่มีเอกลักษณ์ไม่ซ้ำใคร ในแต่ละวันเจ้าของร้านและเชฟได้คิดค้นเมนูใหม่ๆอยู่เสมอเพื่อให้ลูกค้าได้ลิ้มลองเมนูแปลกใหม่ที่ไม่เคยได้ทานที่ไหนมาก่อน คำว่า Pink Tender เป็นภาษาเชฟ ที่หมายถึงความสุกของเนื้อระดับ Medium Rare ซึ่งมีจุดเด่นตรงที่ภายนอกของเนื้อมีสีชมพู โดยเนื้อในแต่ละเมนูของทางร้านจะมีระดับความสุกแบบ Pink Tender ทั้งหมด นอกจากจุดเด่นเรื่องเนื้อสีชมพูแล้วทางร้านยังมีเนื้อค่อนข้างหลากหลาย ลูกค้าสามารถเลือกได้เลยว่าอยากทานเนื้อส่วนไหน
นอกจากนี้ร้าน “Pink Tender” ยังมีเบียร์มากกว่า 12 ยี่ห้อ ให้คุณได้นั่งดื่มสังสรรค์กับเพื่อนได้อย่างมีอรรถรสในเวลาค่ำคืนอีกด้วย ภายในร้านตกแต่งแบบเรียบ หรู โดยจะเน้นสีดำเป็นหลัก มีโต๊ะไม้ช่วยเพิ่มความชอฟ์ลงทำให้ดูไม่แข็งจนเกินไป



“Tuna Spicy Salad”

เริ่มด้วยอาหารเบาๆเรียกน้ำย่อยกันก่อน “Tuna Spicy Salad” (ราคา 150 บาท) สลัดผักไฮโดรออแกนิค ที่มีความสดกรอบ แถมยังมีประโยชน์ต่อร่างกาย เพิ่มความเป็นไทยด้วยน้ำสลัดสูตรพิเศษของทางร้าน ที่มีรสชาติเผ็ดเปรี้ยวถูกปากคนไทย เสิร์ฟพร้อมไข่ต้มและทูน่า ถ้าจะให้ดีแนะนำให้ทานเป็นจานแรกเพราะมีรสชาติครบรสทั้ง เปรี้ยว หวาน เผ็ด รสชาติเหล่านี้จะไปกระตุ้นให้น้ำย่อยทำงานเพื่อพร้อมสำหรับการทานอาหารในจานถัดไป



“Lobster Bisque & Hokkaido Scallop”

“Lobster Bisque & Hokkaido Scallop” (ราคา 240 บาท) ซุปหัวกุ้งล๊อบสเตอร์ ทานคู่กับหอยเชลล์ฮอกไกโด จุดเด่นของจานนี้อยู่ที่ความเข้มข้นของซุปที่ต้องใช้กุ้งหลากลายกิโลในการทำ หากได้ลองทานแล้วจะได้กลิ่นของหัวกุ้งหอมอบอวลไปทั่วจมูก ด้านล่างเป็น Mash Potato ช่วยเสริมความหนักแน่นและหนักท้องให้กับซุปตัวนี้ได้เป็นอย่างดี ทานคู่กับหอยเชลล์ฮอกไกโดเนื้อนุ่มหนึบหนับ แถมยังมีรสหวานเข้ากันเป็นอย่างดี  ตัดเลี่ยนด้วยความเปรี้ยวจาก Citrus Cream แบบโฮมเมด เวลาทานให้ตัก Citrus Cream มานิดหน่อยแล้วค่อยทานกับน้ำซุปจะได้รสเปรี้ยวตัดเลี่ยนได้ดี หรือถ้าใครชอบความหนักของตัวซุปก็สามารถทานเปล่าๆได้เลย



“Penne Truffle Cream”

“Penne Truffle Cream” (ราคา 200 บาท) เพนเน่ครีมเห็ดทรัฟเฟิล ใช้จุดเด่นของตัวทรัฟเฟิลออยล์มาช่วย ทำให้ทานแล้วมีความหนักแน่น ไม่เลี่ยน ได้รสชาติที่เข้มข้น ส่วนเส้นเพนเน่ก็เหนียวนุ่ม รสกรุบๆของเห็ดหลากหลายชนิดช่วยเพิ่ม texture ให้อร่อยมากยิ่งขึ้น



“Vongole Spaghetti”

แต่หากใครชอบทานจานอาหารหนักๆ แนะนำ “Vongole Spaghetti” (ราคา 220 บาท) สปาเก็ตตี้ผัดไวท์ไวน์และหอยตลับ ความอร่อยอยู่ที่การผัดไวท์ไวน์, Olive Olie และน้ำจนเป็นเนื้อเดียวกัน ยิ่งทานตอนมาเสิร์ฟร้อนๆน้ำซอสจะมีลักษณเป็นเนื้อข้นๆ ได้รสชาติมันๆ ไม่เลี่ยน เหมาะสำหรับคนที่ไม่ชอบทานอะไรครีมๆ เสริมความอร่อยด้วยหอยตลับสดตัวใหญ่ เนื้อเหนียวนุ่ม และโรยด้วยพาร์มิซานชีสที่ถูกขูดออกมาเป็นแผ่น ช่วยเพิ่มรสชาติเค็มๆมันๆให้อร่อยยิ่งขึ้นไปอีก



“Angus Striploin”

มาถึงตัวไฮไลท์และถือว่าเป็นที่มาของชื่อร้านอย่าง “Angus Striploin” (ราคา 790 บาท) เนื้อสีชมพูที่ดูยังไงๆก็เป็นเนื้อดิบแน่นอน แท้จริงแล้วเนื้อ Angus ที่ทางร้านเสิร์ฟมาให้ทานนั้นถูกนำไปย่างจนสุกแบบ medium rare ไปทั่วทั้งชิ้น สีชมพูที่เห็นนั้นเกิดจากการดันอุณหภูมิซึ่งเป็นเทคนิคพิเศษของเชฟ  เมื่อได้ลองทานดูจะพบว่าเนื้อนั้นสุกไปทั่วทั้งชิ้นจริงๆ แต่ยังคงความชุ่มฉ่ำของเนื้อไว้ แถมยังไม่มีกลิ่นคาวอีกด้วย เพิ่มรสชาติเค็มๆมันๆด้วยการทานคู่กับบัตเตอร์ แอนโชวี่ ใครที่ไม่ชอบทานมันให้โรยแค่เกลือกับพริกไทยจะได้รสชาติของเนื้อมากที่สุดอร่อยไปอีกแบบ นอกจากนี้ยังมี Carrot Puree แครอทบดเนื้อเนียนรสหวานให้ทานเป็นเครื่องเคียงอีกด้วย จานเดียวแต่หลายออฟชั่นขนาดนี้ต้องลิ้มรสความอร่อยให้ครบทุกแบบ




“Duck Breast Cranberry”


ต่อด้วย “Duck Breast Cranberry” (ราคา 240 บาท) อกเป็ดซอสแครนเบอรี่ พิเศษกว่าที่อื่นตรงที่ทางร้านจะรีดหนังของเป็ดให้เหลือชั้นไขมันน้อยที่สุด การรีดไขมันออกนั้นเป็นการลดกลิ่นความของตัวมันเอง เวลากัดข้างในจะนุ่มๆ ส่วนหนังจะกรอบๆและมีรสชาติที่ออกเค็มนิดๆได้อรรถรส อีกหนึ่งความพิเศษคือการใช้ซอสแครนเบอรี่แทนซอสส้ม ทำให้ได้รสชาติที่เปรี้ยวหวานแตกต่างออกไป อีกทั้งยังเป็นเอกลักษณ์ที่ไม่มีร้านไหนเหมือน ด้านข้างเป็นมันทอดปรุงรสและ snap peas ทานคู่กันเป็นเครื่องเคียง เป็นอีกหนึ่งเมนูที่เชื่อได้ว่าหากใครได้ลองสักครั้งแล้วต้องอยากกลับมาทานอีกแน่นอน


“Chuck & Shank Stew”

อย่าเพิ่งอิ่มยังมี “Chuck & Shank Stew” (ราคา 400 บาท) ภายในจานประกอบไปด้วยเนื้อ 2 ส่วน คือ เนื้อส่วน Chuck คือเนื้อส่วนของหัวไหล่ และเนื้อส่วน Shank ซึ่งเป็นเนื้อส่วนขา ซึ่งทั้ง 2 ส่วนนี้มี texture ที่ต่างกัน ทั้งสองส่วนถูกนำมาตุ๋นจนสุก พอได้ทานแล้วจะพบว่าเนื้อส่วนขาจะนุ่มมาก นุ่มมากซะจนเหมือนเจลาติน แต่เนื้อส่วนหัวไหล่จะเหนียวกว่ามีให้เคี้ยวนิดๆ ความนุ่มและความเหนียวของเนื้อทั้งสองชนิดถือเป็นลูกเล่นของเมนูนี้ ทำให้ทานแล้วสนุกแถม รสชาติของน้ำซุปที่ตุ๋นจนเข้าเนื้อยังอร่อยได้รสชาติที่กลมกล่อมอีกด้วย



“Souffle”

อิ่มของคาวกันไปแล้วอีกกระเพาะนึงต้องเตรียมไว้สำหรับของหวาน “Souffle รส Pina - Colada” (ราคา 150 บาท) แป้งเมอแรงค์ที่มีส่วนผสมของสับปะรดและกะทิ ถูกอบจนร้อนจากนั้นจึงฟูสวยอย่างที่เห็น เสิร์ฟคู่กับซอสกะทิและไอศกรีมวานิลลาเนื้อเนียน เวลาทานให้ตัก Souffle นำมาราดกะทิแล้วทานกับไอศกรีม เข้าปากแล้วจะได้สัมผัสของความนุ่มและความกรอบแล้วละลายหายไป อีกทั้งยังได้ทั้งความร้อนและเย็นผสมกันในปากแล้วจึงได้ความหอมของสับปะรดกับกะทิตีขึ้นมา  เป็นเมนูของหวานที่ถือว่ามีหลากรสสัมผัสภายในหนึ่งเดียว บอกไว้ก่อนเลยว่าของหวานเมนูนี้ไม่ธรรมดา เพราะทางร้านทำเฉพาะวันศุกร์, เสาร์ และอาทิตย์ 3 วันเท่านั้น ใครมานอกเหนือสามวันนี้อดทานแน่นอน

ร้าน “Pink Tender” เปิดให้บริการในวันอังคาร - อาทิตย์ เวลา 17.00 น.- 24.00 น.สนุกไปกับการทานอาหารที่มีเอกลักษณ์โดดเด่นไม่ซ้ำใครได้ที่ร้าน “Pink Tender” ที่เดียวเท่านั้น และสามารถเข้าไปชมและอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ http://www.wongnai.com/articles/pink-tender
 :blob_fire: :blob_fire: :blob_fire: :blob_fire: :blob_fire:

Tags:
 

* Permissions

  • You can't post new topics.
  • You can't post replies.
  • You can't post attachments.
  • You can't modify your posts.




Facebook Comments