Author Topic: BMW E30 M3 กับ BMW E30 M3 EVO มีความแตกต่างอย่างไรบ้างค่ะ  (Read 107536 times)

0 Members and 1 Guest are viewing this topic.

Offline Flying Dutchman

  • Verified Member
  • Member
  • *****
  • Join Date: Dec 2005
  • Posts: 2,685
  • Last Login:April 15, 2018, 11:17:57 pm
เลขตัวถัง (VIN#) ของ Evolution II จะขึ้นต้นด้วย WBSAK01 และเลขเจ็ดตัวที่เหลือของมันจะเป็น 2191372-376, 409-473, 477-479, 481, 483, 485-487, 489-491, 500-502, 504-506, 510-511, 513-515, 517-518, 520, 524, 526-528, 530-534, 536-541, 548, 550-554, 556, 558-560, 562-564, 566-567, 569, 571-573, 576-592, 593, 595-614, 616-805, 807, 809-832, 834-839, 841-848, 850-852, 854-856, 858-911 และ 2191913-2191953 และจะผลิตออกมาในปี 1988 เท่านั้น สังเกตุได้ว่าเลขมันไม่ได้เรียงเป็น running number มันข้ามไปบางเลข

ส่วนของ Evolution III เลข/ตัวอักษรเจ็ดตัวหลัง จะเป็น running number อยู่ระหว่าง AC79000-AC79599

น่าจะครบถ้วนเท่าที่ควรจะเป็นแล้วนะครับ หวังว่าคงพอจะเป็นประโยชน์สำหรับผู้ที่สนใจรถรุ่นนี้ไม่มากก็น้อยนะครับ  :><:




Offline aye

  • Verified Member
  • Member
  • *****
  • Join Date: Feb 2007
  • Posts: 247
  • Last Login:September 16, 2021, 04:00:27 pm
ขอบคุณมั่กๆครับ

Offline tuk_jz

  • Member
  • *****
  • Join Date: Feb 2008
  • Posts: 31
  • Gender: Male
  • Last Login:September 22, 2017, 01:40:25 pm
ข้อมุลมีประโยชน์  อ่านเพลินเลยครับ \^^/

Offline ggmf

  • Verified Member
  • Member
  • *****
  • Join Date: Jul 2008
  • Posts: 657
  • Country: 00
  • Gender: Male
  • Last Login:September 05, 2016, 01:26:07 pm
ช่วงล่างมันผุได้ใจมากๆ เลยนะเนี่ย

Offline tops

  • Member
  • *****
  • Join Date: Mar 2009
  • Posts: 282
  • Gender: Male
  • Last Login:September 02, 2017, 05:31:25 pm
 w^w ข้อมูลขั้นเทพ...ขอบคุณมากครับพี่ต่อ..

Offline Flying Dutchman

  • Verified Member
  • Member
  • *****
  • Join Date: Dec 2005
  • Posts: 2,685
  • Last Login:April 15, 2018, 11:17:57 pm

Offline Flying Dutchman

  • Verified Member
  • Member
  • *****
  • Join Date: Dec 2005
  • Posts: 2,685
  • Last Login:April 15, 2018, 11:17:57 pm
M3 พิษสงรอบตัว

BMW M3 ถือว่าเป็นเครื่องจักรที่ประสพความสำเร็จมากที่สุดจากสายพันธุ์ M-series ด้วยยอดขายที่เกินกว่า 12,000 คันภายในสามปีแรกของสายพานการผลิตเมื่อนับถึงปี 1990 นอกจากนี้มันยังมีบทบาทที่สานต่อตำนานของเจนเนเรชั่นที่สองของ 3-series ได้อย่างเต็มภาคภูมิ บทบาทแรกคือการคงไว้ของชื่อเสียงของ BMW ในการเป็นผู้เชี่ยวชาญที่ผลิตรถยนต์ขนาดเล็กสมรรถนสูง และอีกบทบาทหนึ่งคือมันช่วยให้ Munich สานต่อการโลดแล่นในสังเวียนของการแข่งขันทางเรียบและแรลลี่ได้อย่างต่อเนื่องในขณะที่โครงการ Formula 1 Turbo กำลังเริ่มจะแผ่วลง

ในช่วงต้นยุค 1980 ของการแข่งขัน European Touring Car Championship (ETCC) ที่ถือว่าเป็นหัวเลี้ยวหัวต่อที่ BMW เริ่มกังวลใจในความสำเร็จที่สั่งสมมาเป็นเวลานานว่ากำลังจะถูกแย่งชิงไปโดย Jaguar XJS Coupe ที่พัฒนาจากทีม Tom Walkinshaw (TWS- Tom Walkinshaw Racing) ซึ่งในตอนนั้น BMW ได้ส่ง Helmut Kelleners และ Umberto Grano กับม้า 240 ตัวของ 528i ซาลูนลงไปขับเคี่ยวช่วงชิงตำแหน่งแชมป์นักขับในการแข่งขัน ETCC ปี 1982

แต่อย่างไรก็ตามม้า 240 ตัวของ 528i ก็ยังดูห่างไกลเมื่อเทียบกับพละกำลังจากเครื่องยนต์ V12 ของ Jaguar ดังนั้น BMW ได้จับมือกับ Schnitzer ทำการพัฒนาตัวแข่ง 635 CSi ขึ้นมาใหม่สำหรับฤดูการแข่ง 1983 แต่ก็ยังไม่สามารถพูดว่ามันเหนือกว่า Jaguar ได้อย่างเต็มปากนัก แต่อย่างไรก็ตาม 635CSi ก็พิสูจน์ความทนทานและความเชื่อถือได้ของตัวมันจากการสามารถลงทำการแข่งขันได้จนจบฤดูกาลและทำให้ Dieter Quester คว้าตำแหน่งที่สี่ประเภทผู้ผลิตในการแข่งขัน ETCC ในปีนั้น แต่ Jaguar สามารถคว้าตำแหน่งแชมป์ได้ในปี 1984 ตามมาด้วย Volvo 240 Turbo ในปีถัดมา

ปี 1986 Rover SD1 V8 ที่ลงแข่งเป็นฤดูกาลสุดท้ายก่อนปลดประจำการ ได้เฉือน 635 CSi คว้าชัยชนะประเภทผู้ผลิต แต่อย่างไรก็ตามตำแหน่งแชมป์ประเภทนักขับในปีนั้นตกเป็นของ Roberto Ravaglia หลังพวงมาลัย 635 CSi ในขณะนั้น Jaguar ได้ถอนตัวออกจาก ETCC จากการที่ Tom Walkinshaw ได้เบนเข็มไปยังการแข่งขัน Sport Car World Championship แทน ส่วน Volvo ก็เริ่มถอยด้วยเช่นกัน คงเหลือเพียงแต่ Sierra Cosworth ที่ถูกพัฒนามาใหม่เอี่ยมจาก Ford ที่ดูเหมือนจะเป็นเป็นคู่แข่งรายเดียวในสนาม และในตอนนี้เกิดคำถามขึ้นใน BMW แล้วว่า พวกเขาจะต้องสร้างรถอะไรขึ้นมาเพื่อเตรียมรับมือกับคู่แข่งที่กำลังยืนท้าทายจาก Ford คันนี้


การท้าทายต่อกฏ Homologation

การแข่งขัน Group A ของ ETCC กำหนดไว้ว่ารถที่นำลงแข่งขันจะต้องมีพื้นฐานมาจากรถในสายพานการผลิตปกติที่ไม่น้อยกว่า 5000 คัน ในตอนแรก BMW Motorsport ได้ลงมือพัฒนาเครื่องยนต์ 24 วาล์วของ M635CSi อย่างเอาจริงเอาจังแต่ในภายหลังได้ตระหนักว่าเป็นไปไม่ได้ที่จะผลิตรถออกมาขายให้ครบตามจำนวนที่กำหนดได้ทันเวลา ส่งผลให้ทีมงานภายในโรงงานที่ Munich ต้องทำการลงมือออกแบบรถแข่งขึ้นมาใหม่เอี่ยมอีกหนึ่งรุ่นจากกระดาษขาวเลย

คอนเซปต์ของรถแข่งแท้ๆจากกระดาษขาวที่ชื่อ M3 คันนี้ถูกทำออกมาบนพื้นฐานของตัวถัง 3-series มันถือกำเนิดขึ้นมาในช่วงต้นปี 1981 แต่เจ้า M3 ยังไม่ได้คลอดออกมาสู่สายตาสาธารณชนจนกระทั่งปี 1986 แชสสีของมันถูกทำขึ้นมาจากทีมออกแบบที่นำโดย Thomas Ammerschlager อดีตขุนศึกจาก Ford Capri และ Audi Quattro ส่วนเครื่องยนต์ถูกสร้างขึ้นมาใหม่เอี่ยมโดย Paul Rosche และกลุ่มเพื่อนของเขา โดยมีพื้นฐานที่เอามาจากเครื่องยนต์หกสูบ 3.5 ลิตรที่ใช้ใน M635CSi (หรือ M6 ในอเมริกา- F/D) ถึงสองในสาม

หลักการคร่าวๆของเครื่องยนต์ M3 ของ Paul Rosche ตัวนี้ก็คือทำให้มันเครื่องยนต์ขนาด 2.3 ลิตรแบบสี่วาล์วต่อสูบ ซึ่งหมายความว่ากระบอกสูบของมันจะมีเส้นผ่าศูนย์กลาง 93.4 mm เท่ากับเครื่องยนต์ที่ใช้ในการแข่งขัน Formula 2 เครื่องยนต์ M3 ในขณะที่ถูกพัฒนาอยู่ในโครงการนี้มีรหัสเรียกว่า 23 4E A (ส่วนโครงการ M3 E30 มีรหัสเรียกอย่างเป็นทางการว่า VT 105 ตัวอักษร VT ย่อมาจาก Versuchtrager ซึ่งหมายความว่า Experimental ในภาษาอังกฤษ- F/D)

สาเหตุที่มันถูกตัดสินใจให้เป็นเครื่องยนต์ขนาดสี่สูบแทนที่จะเป็นหกสูบ ด้วยเหตุผลที่ว่าข้อเหวี่ยงที่สั้นกว่าจะให้ความแข็งแรงพอที่จะรับมือกับการทำงานอย่างต่อเนื่องที่ 9000 rpm ซึ่งเป็นรอบการทำงานปกติของเครื่องยนต์แข่งได้ดีกว่าเครื่องยนต์หกสูบ และด้วยเหตุนี้กระบอกสูบที่ถูกทำให้ใหญ่ขึ้นนี้จึงถูกหล่อเชื่อมติดกันเป็นคู่เพื่อช่วยเพิ่มความแข็งแรงให้กับโครงสร้างของเสื้อสูบ ระบบการทำงานของวาล์วและ layout ของมันแทบจะเหมือนกันเปี๊ยบกับเครื่องยนต์ที่ใช้อยู่ใน M635 CSi และ M5 (E28) รวมไปถึงระบบขับเคลื่อน Camshaft ที่เป็นโซ่สองเส้นคู่และตำแหน่งของหัวเทียนที่อยู่ตรงกลางระหว่างวาล์วทั้งสี่ตัว

เครื่อง M3 ทำงานร่วมกับระบบควบคุมหัวฉีด Motronic ของ BMW เนื่องด้วยข้อบังคับเรื่อง Catalytic Convertor ในตลาดเยอรมัน แรงม้าสูงสุดจะลดลงไปราว 5 แรงม้า และส่งผลต่อแรงบิดที่ลดลงด้วยเช่นกัน นอกจากนี้ความเร็วสูงสุดจะลดลงประมาณ 3 mph (5 กม/ชม) ทำให้ top speed เหลือเพียง 146 mph (235 กม/ชม) เมื่อเทียบกับ M3 ที่ถูกส่งไปขายที่ตลาดในอังกฤษ

M3 ถูกผลิตออกมาขายเป็นพวงมาลัยซ้ายเท่านั้น ข้อจำกัดตรงนี้ทำความเย้ายวนใจของมันลดน้อยลงไปในตลาดอังกฤษ เครื่องยนต์ส่งกำลังผ่านเกียร์ close ratio ของ Getrag ที่เกียร์หนึ่งจะดึงลงทางซ้ายแบบ dog-leg ซึ่งจะทำให้สี่เกียร์ที่เหลือที่ใช้บ่อยกว่าเป็นแบบ H-pattern (ใครขับเกียร์ตัวนี้แล้วหลง ผมแนะนำว่าให้แกล้งๆลืมไปเลยว่ามันไม่มีเกียร์หนึ่ง จากนั้นตั้งสติคิดเสียกำลังขับรถสี่เกียร์ที่เป็น H-pattern ปกติ จะขับง่ายขึ้นเยอะ- F/D) 

เพื่อเสริมให้เจ้า M3 มีความคล่องตัวและนิ่งในแบบที่ควรจะเป็น ตัวถังของมันจึงถูกปรับเปลี่ยนจำนวนหนึ่งให้แตกต่างไปจากตัวถังของ 3-series ปกติ เช่นกระจกหลังที่เอียงลาดมากขึ้นและแนวฝากระโปรงท้ายที่สูงขึ้น นอกจากนี้มุม Caster ของล้อยังถูกทำให้เพิ่มขึ้น (เป็นสามเท่า เกิดจากการใช้บูชปีกนกแบบ Eccentric –F/D) และดุมล้อที่ทำขึ้นมาใหม่เพื่อให้สามารถใช้ลูกปืนล้อขนาดใหญ่กว่าเดิมที่เอามาจาก 5-series ได้ อัตราทดของพวงมาลัยถูกทำให้เป็น quick ratio รวมไปถึงเหล็กกันโคลงที่แข็งขึ้นที่ถูกยึดเข้ากับเสื้อ strut ด้านบน (3-seires ปกติจะยึดกับปีกนกด้านล่าง) เพื่อช่วยเพิ่มแรงงัด

ช่วงล่างใช้โช๊คอัพแก๊ส Twin Tube แบบใหม่โดยทำงานร่วมกับสปริงหลังที่แข็งขึ้นเพื่อทำให้ปีกนกมีระยะทำงานไม่เกิน 15 องศา (มุมแคมเบอร์ของช่วงล่างแบบ semi-trailing arm จะเปลี่ยนไปตามระยะยุบของช่วงล่าง ยิ่งเตี้ยมาก หรือยิ่งยุบได้มาก แคมเบอร์จะเป็นลบมากซึ่งทำให่หน้าสัมผัสพื้นถนนน้อยลง-F/D)

ความหวังบนเส้นทางสู่ Championship

BMW M3 เริ่มเปิดศักราชการต่อสู้ของมันเป็นครั้งแรกในการแข่งขัน WTCC ของ FISA ในปี 1987 (FISA ย่อมาจาก F&eacute;d&eacute;ration Internationale du Sport Automobile ภายหลังถูกควบรวมเข้ากับ FIA- F/D) ทั้งนี้เป็นความเพียรพยายามของ FISA ในการส่งเสริมการแข่งขันรถทัวริ่งให้ขึ้นไปอยู่ในระดับแชมป์โลก แต่จากการที่ FISA กำหนดการวางเงินประกันจำนวน $60,000 ต่อคันสำหรับรถที่จะเข้าแข่งขันชิงตำแหน่งแชมป์โลกนี้สร้างความตะลึงให้กับทีมแข่งต่างๆจนเกิดความกังวลใจว่าจะมีทีมแข่งมาสมัครหรือไม่อยู่พอสมควร แต่เนื่องจากความเย้ายวนใจของตำแหน่งที่การันตีความเป็นแชมป์โลกอันนี้ จึงมีรถมาลงสมัครถึง 16 คันในการแข่งขันเปิดสนามที่ Monza ในเดือนมีนาคมในปีนั้น

และ BMW ผู้ซึ่งเตรียมการมาเป็นอย่างดี ได้วางเงินจำนวน $240,000 สำหรับตัวแข่งที่จะเข้าชิงแชมป์โลกอันนี้ถึง 4 คัน!


TO BE CONTINUED

+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

เรียบเรียงจาก BMW M SERIES: The Complete Story/ Copyright The Crowood Press 1992, 1998
โดย The Flying Dutchman/March 2007           
« Last Edit: April 01, 2009, 11:54:21 am by Flying Dutchman »

Offline Maximus Hippopotemus

  • Classic Car Enthusiast
  • Verified Member
  • Member
  • *****
  • Join Date: Jul 2005
  • Posts: 11,760
  • Country: th
  • Gender: Male
  • Last Login:March 14, 2024, 04:45:16 pm
    • MY FACEBOOK
รออ่านต่ออยู่นะครับพี่ต่อ &v& &v& &v&
พอเห็นรถรุ่นโน้นก็ชอบรุ่นนี้ก็ชอบรุ่นนั้นก็ชอบ ชอบไปหมดเลยนะ ยอมรับครับว่าชอบไปหมดก็เพราะผมชอบรถคลาสสิคไงครับ

1951 FIAT 1100E
1957 CHEVROLET BEL AIR TOWNSMAN
1963 MB W110 190
1968 MB W108 280S
1970 VW T2 DELUXE
1973 BMW 2002
1985 CHEVROLET SUBURBAN SILVERADO K20
1985 MB W123 300TD
1988 BMW 318i 2dr. M42
1989 CITROEN BX 19 GTi
1991 JAGUAR XJR 4.0
1991 MB R129 500SL

www.facebook.com/maxcud39

Offline Flying Dutchman

  • Verified Member
  • Member
  • *****
  • Join Date: Dec 2005
  • Posts: 2,685
  • Last Login:April 15, 2018, 11:17:57 pm
BMW ยังคงเก็บเอาความเชื่อมั่นใน M3 เอาไว้อย่างเต็มเปี่ยมในขณะที่พลังจากเทอร์โบพาเจ้า Sierra Cosworth เดินหน้าใกล้ชัยชนะเข้าไปเรื่อยๆ และเมื่อรุ่น Evolution RS500 ถูกทำออกมาในช่วงกลางฤถูกาลแข่งขัน 1987 ก็ไม่มีอะไรที่จะหยุดยั้ง Sierra ไม่ให้ชนะได้อีกต่อไปถึงแม้ว่า M3 จะลดช่องว่างแห่งความเสียเปรียบลงได้บ้างในสนามที่มีโค้งเยอะๆ แต่ม้ากว่า 500 ตัวที่พา Sierra ทะยานไปบนพื้นก็ยังคงเป็นสิ่งที่พามันไปสู่ชัยชนะได้อย่างมั่นคง

ยุค EVOLUTION

ในกลางปี 1988 BMW ได้ผลิตรุ่น Evolution ของ M3 ออกมาจำนวน 500 คัน 40 คันในจำนวนนี้ถูกส่งไปขายในอังกฤษสนนราคาค่าตัวคันละ 26,960 ปอนด์ ซึ่งแพงกว่า M3 รุ่นปกติอีก 3000 ปอนด์ ด้วยเงินที่เพิ่มขึ้นนี้ ลูกค้าจะได้แรงม้าเพิ่มขึ้นอีก 10 เปอร์เซนต์ จนกำลังสูงสุดขึ้นไปถึง 220 แรงม้า รวมไปถึงแรงบิดที่ขึ้นไปเป็น 180 lb/ft ทั้งหมดนี้เป็นผลที่เกิดจากการปรับปรุงกำลังอัดจาก 10.5 ขึ้นไปเป็น 11.0

การปรับปรุงในครั้งนี้ทำให้ M3 สามารถไต่ขึ้นไปที่ความเร็วสูงสุดได้ที่ 152 mph (244 km/h) ด้วยอัตราเร่งจาก 0-60 mph ได้ในเวลา 6.9 วินาที เมื่อเทียบกับ M3 รุ่นปกติที่ทำได้ 7.0 วินาที ตัวถังภายนอกถูกออกแบบปรับปรุงแอโร่ไดนามิคส์ใหม่เพื่อลดแรงยกด้านหน้าและด้านหลังเพื่อการทรงตรงที่ดีขึ้นที่ความเร็วสูง ชิ้นส่วนที่ถูกปรับปรุงที่เห็นได้ชัดคือสปอยเลอร์หน้าที่ลึกเข้าไปด้านในกว่าเดิม และแผ่นรีดอากาศที่เอียงยื่นออกไปด้านหน้าเพื่อดักอากาศเข้าไปเป่าเบรกด้านใน รวมไปถึงสปอยเลอร์หลังที่มีสันเพิ่มขึ้นมาที่ขอบ ตัวถังถูกทำให้เบาลงด้วยการใช้กระจกข้างด้านหลัง และกระจกหลังที่บางลง

ยางขนาด 225/45 ZR16 ที่มากับล้อลายซี่ขนาด 7.5” x 16 เป็นอุปกรณ์มาตรฐานและมีโช๊คอัพปรับได้สามระดับที่ควบคุมด้วยไฟฟ้าของ Boge เป็นออปชั่นให้เลือกในราคา 1,388 ปอนด์ ส่วนมิติของช่วงล่างอื่นๆยังคงเป็นเหมือนกับรุ่นปกติ

การตกแต่งสวยงามอื่นๆรวมไปถึงเนื้อกระจกหน้าสีเขียวที่มีแถบสีกรองแสงที่ขอบด้านบน, แผ่นแสตนเลส M3 ที่บันได, และที่พักเท้าฝั่งของขับของ M-Technic แต่อย่างไรก็ตามสิ่งที่ดูเตะตาที่สุดที่อยู่ใต้ฝากระโปรงก็คือฝาครอบวาล์วและกล่องรวมอากาศที่ถูกพ่นเป็นสีขาว และคาดด้วยแถบสีสัญลักษณ์ของ BMW Motorsport

ชัยชนะ

ในสังเวียนการแข่งขันของปี 1988 มีเพียง BMW และ Ford ที่เป็นคู่ท้าชิงตัวสำคัญบนถนนไปสู่ความเป็นแชมป์ของ ETCC หลังจากเกิดเหตุการณ์ที่สร้างความเสื่อมศรัทธาให้กับทีมแข่งผู้ผลิตรถยนต์ในการแข่งขัน WTCC เมื่อปีก่อนหน้านั้น (เรืองนี้ผมเคยเขียนไปแล้วที่กระทู้ไหนสักแห่ง ที่อยู่ดีๆ WTCC ก็ยกเลิกเสียดื้อๆหลังจากแข่งไปได้เพียงฤดูกาลเดียว-F/D)

ในตอนนั้น BMW ได้แบ่งความรับผิดชอบในการลงแข่งขันให้กับสองทีมคือ ทีม Schnitzer และทีม Bigazzi (ต่อมาได้เพิ่มทีม Linder และ ทีม Zak Speed เข้าไป- F/D) ทีม Bigazzi ประกอบไปด้วยนักแข่งมือเก๋าจาก Formula 1 อย่าง Jacques Laffite และ Oliver Grouillard นอกจากนี้ยังมี Winni Vogt อดีตแชมป์ ETCC 1987 และ Mark Thatcher ลูกชายอดีตนายกรัฐมนตรีหญิงเหล็กแห่งอังกฤษที่ห่างหายไปจากวงการแข่งรถหลายปี ถึงแม้ว่า RS500 Sierra Cosworth ภายใต้การขับของ Steve Soper, Klaus Ludwig, และ Andy Rouse จะเป็นคู่แข่งที่น่ากลัว แต่  Roberto Ravaglia ก็ยังสามารถนำ M3 คว้าตำแหน่งแชมป์โลกของ WTCC ในปี 1987 ได้เป็นผลสำเร็จ

และเพื่อเป็นการเฉลิมฉลองความสำเร็จในครั้งนี้ BMW ได้ผลิต M3 รุ่นพิเศษที่เรียกว่ารุ่น “Europa Meister Celebration” ผลิตออกมาจำนวน 150 คันในเดือนตุลาคม 1988 มันถูกติดตั้งมากับเครื่องยนต์สเปกเยอรมัน 195 แรงม้าพร้อม catalytic convertor และในต้นฤดูใบไม้ผลิปีถัดไป BMW ก็ได้ผลิตรุ่นพิเศษ 215 แรงม้าออกมาอีก 505 คันเพื่อเป็นการฉลองชัยชนะให้กับ Roberto Ravaglia ในการแข่งขัน WTCC/ETCC อีกครั้งหนึ่ง 25 คันในจำนวนนี้ถูกส่งไปขายในอังกฤษ

ตัวรถมีพื้นฐานมาจากรุ่น Evolution แต่สปอยเลอร์หน้าและหลังจะเป็นแบบ M3 รุ่นก่อนหน้านี้ และตัวถังด้านหลังถูกทำให้เบาลงไปอีก

รุ่น Evolution นี้ถูกใส่อุปกรณ์อำนวยความสะดวกเข้าไปอย่างมากมาย รวมไปถึงภายในแบบพิเศษที่ถูกออกแบบเป็นการเฉพาะจาก BMW Mortorsport GmbH โดยทั้งเบาะหน้าและหลังและแผงประตูจะถูกหุ้มด้วยผ้าลายพิเศษสลับกับหนังแท้สีเทา (silver) และชิ้นส่วนภายในอื่นๆจะเป็นสีเทาด้วยเช่นกัน กระจกไฟฟ้า, เซนทรัลล๊อก, ABS, on-board computer ถูกติดตั้งมาเป็นอุปกรณ์มาตรฐาน รวมไปถึง 3-way catalytic convertor

จุดหักเหอีกจุดของการพัฒนา M3 เกิดขึ้นอีกครั้งเมื่อต้นปี 1990 เมื่อมี M3 ที่เรียกว่ารุ่น Sport Evolution ได้ถูกผลิตออกมาอีกจำนวน 600 คัน รุ่นนี้ถูกทำให้เครื่องยนต์มีขนาด 2,467 ลิตร ที่มีกระบอกสูบ x ช่วงชักเท่ากับ 95x87 mm ให้กำลังสูงสุด 238 แรงม้าที่ 7000 rpm ในรุ่นถนนปกติ M3 รุ่นพิเศษรุ่นนี้ทำให้ BMW สามารถใช้เครื่องยนต์ 2.5 ลิตรลงแข่งในการแข่งขันรถทัวริ่งในเยอรมันและอิตาลีได้ตามกฏ homologation นอกจากนี้ BMW ยังใช้ประโยชน์ของสปอยเลอร์และปีกหลังที่ปรับได้ที่เป็นอุปกรณ์มาตรฐานมาใช้ในสนามแข่งตามกฏ homologation ได้อีกด้วย

สปอยเลอร์ด้านหน้าที่ว่านี้สามารถปรับ manual ได้สี่ระดับ ในตำแหน่งปกติที่มันถูกหดเก็บเข้าไปด้านในสุด จะปล่อยให้มีแรงยกที่ด้านหน้ารถเล็กน้อย (เพื่อให้น้ำหนักถ่ายไปที่ด้านหลัง –F/D) ในตำแหน่งที่ยืดออกสุดแรงยกที่ด้านหน้าจะเป็นศูนย์และน้ำหนักที่กดลงที่ล้อหลังจะมีเพียงเล็กน้อย BMW ให้ข้อมูลว่าที่ความเร็วสูงสุดเมื่อสปอยเลอร์ด้านหน้าอยู่ในตำแหน่งยึดออกสุด มันจะสร้างแรงกดที่ล้อหน้า 185 ปอนด์ (84 kg) และแรงกดที่ล้อหลัง 88 ปอนด์ (40 kg)

จากการสำรวจในช่วงต้นปี 1991 BMW Motorsport พบว่ามีตัวแข่ง M3 ที่เป็นสเปก Group A ลงแข่งอยู่เกือบ 300 คันในสนามแข่งเกือบทั่วทุกมุมโลก และทางบริษัทรู้สึกพึงพอใจในกฏข้อบังคับของการแข่งขัน Group A โดยกล่าวอย่างหนักแน่นว่า

“การแข่งขัน Group A ของ FISA ในระดับประเทศนี้เป็นสิ่งที่ช่วยเชื่อมโยงประสพการณ์ที่ได้จากสนามแข่งเข้ากับตัวรถในสายการผลิตปกติได้อย่างยอดเยี่ยมที่สุด”



TO BE CONTINUED
« Last Edit: April 01, 2009, 07:11:45 pm by Flying Dutchman »

Offline ommo

  • Verified Member
  • Member
  • *****
  • Join Date: Dec 2008
  • Posts: 176
  • Country: 00
  • Gender: Male
  • Last Login:February 08, 2016, 01:50:39 am
มาเข้าชั้นเรียนครับ    :bythebook:

Offline ท่านขุน

  • Verified Member
  • Member
  • *****
  • Join Date: Jul 2005
  • Posts: 3,472
  • Country: 00
  • Gender: Male
  • Last Login:November 25, 2022, 11:52:45 am

Offline OouVintage

  • PainKiller Racing Team
  • Verified Member
  • Member
  • *****
  • Join Date: Jul 2005
  • Posts: 10,531
  • Gender: Male
  • Last Login:February 04, 2023, 01:13:03 pm
    • OouVintage
เชื่อไหมครับว่าผมไม่กล้าอ่านกระทู้นี้เลย ได้แต่ดูผ่านๆกลัวงานจะเข้า  :happy2: :happy2: :happy2: :>D

Offline Three_Bros.

  • Verified Member
  • Member
  • *****
  • Join Date: Jan 2008
  • Posts: 118
  • Gender: Male
  • Last Login:April 17, 2014, 07:52:55 pm
พี่ฉายหนังมันต้องมีรูปด้วยถึงจะมันนะ  :grin:

ตัวแข่งโรงงาน ทีม Bigazzi ทีม Linder ทีม Bigazzi ในตัวEvolution3

Offline Three_Bros.

  • Verified Member
  • Member
  • *****
  • Join Date: Jan 2008
  • Posts: 118
  • Gender: Male
  • Last Login:April 17, 2014, 07:52:55 pm
 ตัวEvolution2 Steve Soper Bigazzi M Team

Offline NOK1

  • Verified Member
  • Member
  • *****
  • Join Date: Apr 2008
  • Posts: 10,430
  • Gender: Male
  • Last Login:June 22, 2021, 07:05:28 am

Offline NUK

  • นักรักอังกฤษ
  • Verified Member
  • Member
  • *****
  • Join Date: Jun 2006
  • Posts: 1,068
  • Country: th
  • Gender: Male
  • Last Login:September 29, 2023, 07:32:00 pm
    • GELE'E DIAMOND
รายละเอียดเพียบเลย ชอบครับ  \^^/
นักรักอังกฤษ
ใครใช้ หรือชอบ รถอังกฤษ ไป Like page นี้ไว้เล่นๆ ได้ครับ http://www.facebook.com/thaibritishcar 

ยินดีให้คำปรึกษาเรื่องเพชรครับ  www.geleediamond.com

Offline Flying Dutchman

  • Verified Member
  • Member
  • *****
  • Join Date: Dec 2005
  • Posts: 2,685
  • Last Login:April 15, 2018, 11:17:57 pm
ฝากลงภาพปลา-กรอบ ด้วยละกันครับ

ใช่!! ใครใจไม่แข็งอย่าเข้ามา เราขอเตือน เพราะความเย้ายวนใจของเสียงแห่งตำนาน BMW Motorsport ที่ถูกปั่นออกมาด้วยเครื่องยนต์ ทวินแคม 16 วาล์วที่รอบสูงปรี๊ด มันชวนให้เคลิบเคลิ้มยิ่งนัก
มันพาลจะชวนให้เลยเถิดไปได้อย่างง่ายๆ

ขออนุญาติเอาจดหมายจากสายเลือด BMW ทวินแคม 16 วาล์วคนหนึ่งที่ email มาให้ผมเมื่อเร็วๆนี้จากเยอรมันมาแชร์ให้ดูนะครับ มันมีหลายส่วนที่น่าเป็นประโยชน์สำหรับผู้ที่สนใจเครื่องตัวนี้ ผมได้รับคำแนะนำต่างๆจากเขามามากมาย เวลาคนพูดภาษาเดียวกัน มันคุยได้น้ำไหลไฟดับแบบนี้นี่เอง และจดหมายฉบับนี้เกิดจากความเลยเถิดของใครบางคน  :a_laugh:  :a_laugh:

พยายามเรียบเรียงจากภาษาอังกฤษผสมไวยากรณ์เยอรมัน พร้อมนั่งนับหนึ่งถึงสิบไปด้วยในใจ หมอนี่เป็นเจ้าของเวปไซต์ที่มีชื่อเสียงแห่งหนึ่งของรถรุ่นนี้ ก็คงบอกได้แค่นี้เพราะเขาไม่อยากให้บอก ที่เอามาลงเพื่ออยากจะเอาความรู้แบบต้นฉบับของแท้จากเยอรมันมาแชร์เท่านั้นเองครับ

ยังมีอะไรที่เราไม่รู้อีกเยอะ...........


Have fun!

+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

สวัสดี Torpan,

ก่อนอื่นต้องขอบอกก่อนว่าไอไม่ได้ประจำอยู่ในเวป <*******> และไอไม่อยากให้ข้อมูลต่างๆที่กำลังให้ยูอยู่นี้ไปปรากฏอยู่ในฟอรั่มของที่นั่น (จึงเขียน email มาหายูที่นี่) เราทำงานร่วมกับลูกค้าแบบตัวต่อตัวและไอก็จะเก็บข้อมูลที่ยูให้ไอเอาไว้เป็นความลับด้วยเช่นกัน ซึ่งเป็นเรื่องปกติที่นักแข่งทั้งหลายแหล่กระทำกันเพื่อไม่ให้ข้อมูลแพร่งพรายออกไป

ประเด็นที่สอง ยูต้องการชิ้นส่วนเครื่องยนต์เป็นของใหม่เอี่ยมจากโรงงาน หรือยูต้องการซื้อของใช้แล้ว (แต่ยังอยู่ในสภาพดี) โดยตรงจากแหล่งของพวกนี้? ถ้าใช่ ยูสามารถสมัครเข้าเวปไซต์ <*******> และยูสามารถพูดคุยกับสมาชิกอื่นๆที่สนใจและมีชิ้นส่วนของเครื่องยนต์ตัวนี้ที่ยินดีที่จะให้คำแนะนำยูอยู่เป็นจำนวนมาก นี่คืออีกหนึ่งทางเลือกที่ยูจะสามารถหาอะไหล่ใช้แล้วได้ง่ายกว่าการหาในท้องถิ่น ไออยู่ในเยอรมัน ยูอยู่ที่ไหนหากบอกให้รู้ก่อนก็ดีเพื่อเป็นข้อมูลสำหรับไอว่าจะต้องส่งของเหล่านี้ไปที่ไหน

ใช่ ฝาสูบที่ยูถามถึงใช้งานได้ดี แต่มันจะต้องใช้ Throttle Body ขนาดเฉพาะของมัน ในเครื่อง 2.5 ลิตรของไอ ไอใช้ขนาด 48 mm และ ในเครื่อง 2.7 ลิตร ไอใช้ 49 mm แต่ถ้ายูจะใช้กับ Slide Throttle มันจะแตกต่างกันนิดหน่อยที่ตรงน๊อตยึดที่ฝาสูบมันจะใหญ่กว่า แต่มันก็ไม่ได้เป็นสิ่งยากเย็นอะไรที่เราจะทำไม่ได้

ฝาสูบตัวแข่ง DTM ปี 92 แท้ๆจะราคาประมาณ 4000 ยูโร ซึ่งพอร์ทไอดีของมันถูกทำให้มีขนาด 49.5 mm เพื่อใช้กับ Slide Throttle ซึ่งต้องใช้ Airbox คาร์บอนขนาดเฉพาะของมัน นอกจากนี้พอร์ทไอเสียยังมีขนาดใหญ่กว่าปกติเล็กน้อยซึ่งจะต้องใช้ประเก็นท่อไอเสียขนาดใหญ่กว่าของเฮดเดอร์ของตัวแข่ง DTM (แบบ 4-1) ปี 1992 ด้วยเช่นกัน รวมไปถึงจะต้องใช้ CuBe valve seat ด้วย ในส่วนนี้น่าจะต้องมีราว 1000 ยูโร (CuBe คือ valve seat ที่ทำจาก ทองแดง (Copper- Cu) ผสมเบอริลเลี่ยม (Be) – F/D)

เสื้อสูบ DTM จะราวๆ 5000 ยูโร และชุด Slide Throttle จะอยู่ที่ราวๆ 3000 ยูโร

เรากำลังทำท่อไอเสียของ DTM น้ำหนักเบาทั้งเส้นขึ้นมาใหม่ โดยสั่งทำจากบริษัทใน Bad Tolz ซึ่งเป็นที่เดียวกันกับที่ทำท่อไอเสียให้กับตัวแข่ง BMW Motorsport ในยุคนั้น ราคาน่าจะอยู่ราวๆ 3500 ยูโร

ทั้งหมดนั้นคือราคาคร่าวๆ ไออยากจะรู้ว่ายูได้ตั้งงบสำหรับทำเครื่องยนต์เอาไว้เท่าไหร่ ที่ถามนี่เพราะงบมันจะท่วมอย่างรวดเร็ว (หากจะใช้เป็น Motorsport parts แท้ทั้งหมด) มีบางอย่างที่ยูสามารถเอามาใช้แทนได้ในราคาที่ถูกกว่าโดยที่คุณภาพและความทนทานของมันไม่ได้ต่างไปจากเดิม เราสามารถช่วยยูสร้างเครื่องสเปกเดียวกับตัวแข่งได้ทั้งตัวได้โดยไม่จำเป็นต้องใช้ชิ้นส่วน Motorsport Parts แท้ๆแม้แต่ชิ้นเดียว ไอสามารถอธิบายถึงวิศวกรรมในการออกแบบชิ้นส่วนทดแทนเหล่านี้แต่ละชิ้นให้ยูได้อย่างชัดเจน ยกตัวอย่างเช่น ลูกสูบของเรา ถึงหน้าตาเหมือนกับของ Motorsport ของตัวแข่งเอนดูรานส์ Gr.A เปี๊ยบแต่มีการปรับปรุงบางจุดให้ดีขึ้น ในหกปีที่ผ่านมาเราได้ใช้ลูกสูบเหล่านี้ในเครื่องยนต์แข่งของเราหลายตัวทั้งในการแข่งขันทางเรียบและแรลลี่ มันทำงานที่ 9000 rpm ได้อย่างต่อเนื่องโดยไม่มีปัญหาอะไรกับลูกสูบแม้แต่น้อยนิด ไอสามารถส่งวิดิโอของตัวแข่งแรลลี่ของเราในการแข่งขันชิงแชมป์แรลลี่เยอรมันให้ยูดูได้หากยูสนใจ นอกจากนี้เรายังใช้ชุดแหวนลูกสูบที่ทันสมัยกว่า ลูกสูบที่ยูถามถึงเป็นลูกสูบสเปกที่ใช้สำหรับการแข่งขันเอนดูรานส์ ไม่ใช่สเปกสำหรับการแข่งขัน Sprint แบบ DTM ที่เบากว่าและใช้แหวนลูกสูบแค่สองตัว และลูกสูบนี้ใช้กับก้านสูบสั้น 144 mm แต่อย่างไรก็ตามยูสามารถสร้างเป็นเครื่องช่วงชักยาวกว่านั้นก็ได้หากต้องการ อีกสิ่งหนึ่งที่ไออยากรู้ก็คือรอบเครื่องยนต์สูงสุดที่ยูคิดว่าจะใช้ในสนาม ถ้าที่แค่ที่ 9000 rpm เครื่องยนต์สเปกเอนดูรานส์ที่ทำแค่แคมชาร์ฟ, ฝาสูบ, และ intake ก็น่าจะเอาอยู่ จะยูวางแผนว่าจะใช้ถึง 10000 rpm ก็ต้องทำเป็นสเปกตัวแข่ง sprint แต่อย่างไรก็ตามอายุการใช้งานของมันก็จะสั้นกว่าและต้องการการเซอร์วิสที่บ่อยกว่า สำหรับก้านสูบมีให้เลือกหลากหลาย ของ Motorsport Part แท้ๆจะอยู่ราวๆ 600-900 ยูโร/อัน และก้านสูบไททาเนี่ยมจะประมาณอันละ 1500 ยูโร

พูดถึงก้านสูบอีกที ไอใช้ของทดแทนได้เพราะก้านสูบ Motorsport ก็แทบจะไม่ได้แตกต่างไปจากก้านสูบในเครื่องปกติอะไรเลย แต่สิ่งที่แตกต่างอย่างมากก็คือ ก้านสูบของ BMW มีจุดอ่อนที่อายุการใช้งานของน๊อตก้านสูบและเกลียวของมัน ดังที่ BMW ได้แนะนำให้เปลี่ยนทุกๆ 2000 km แต่ก้านสูบไททาเนี่ยมของเราไม่จำเป็นต้องทำแบบนั้น อีกทั้งมันยังสามารถทำงานที่รอบเครื่องยนต์ที่สูงขึ้นไปได้ถึง 16000 rpm

อีกจุดที่ควรระวังของลูกสูบก็คือยูต้องเช็คบริเวณขอบลูกสูบด้านบน (ring land) ให้ดี ยูไม่สามารถสังเกตุเห็นได้ด้วยตาเปล่ายกเว้นเสียแต่ว่ามันสึกอย่างรุนแรง แต่เมื่อยูดูจากภาพที่ถ่ายจากกล้องอิเลคตรอน (REM) ยูจะเห็นระดับของความสึกหรอของมันได้อย่างชัดเจน เมื่อขอบลูกสูบด้านบนช่วงที่ติดกับร่องแหวนสึกมาก ระยะ clearance จะมากขึ้นและจะทำให้เกิดความสึกหรอขึ้นอย่างรวดเร็วกว่าปกติ จนทำให้กำลังอัดรั่วลงล่างจนแหวนอัดและแหวนกวาดน้ำมันเอาไม่อยู่และจะเป็นเหตุให้ขอบแหวนสึกอีกด้วย นี่คือสิ่งสำคัญสำหรับเครื่องยนต์ที่ต้องทำงานในรอบสูงๆ ซึ่งแหวนลูกสูบรุ่นใหม่ๆจะช่วยลดการสึกหรอตรงนี้ได้มาก นอกจากนี้แหวนแต่ชนิดจะต้องมีวิธีการเตรียมผิวกระบอกสูบ (honing) เป็นการเฉพาะสำหรับแหวนนั้นๆด้วย ถ้ายูจะใช้เสื้อสูบของยูเอง ประการแรกยูควรจะต้องรู้จักสถานที่ที่เชี่ยวชาญและได้รับการรับรองในการเตรียมผิวกระบอกสูบตามสเปกของ BMW Motorsport เป็นการเฉพาะ

เครื่องเอนดูรานส์ที่เราทำจะมีอายุการใช้งานประมาณ 120 ชั่วโมงแข่งในสนาม Nurburgring ซึ่งเป็นสนามที่รอบเครื่องยนต์จะถูกทำงานเปลี่ยนไปเปลี่ยนมาถึงรอบสูงสุดตลอดเวลา (ตรงกันข้ามกับเครื่องยนต์ sprint ที่ส่วนใหญ่จะถูกทำงานแช่เอาไว้ที่รอบสูงสุดอย่างต่อเนื่อง) ซึ่งเครื่องตัวนี้จะมีกำหนดการ rebuild เท่ากับเครื่องยนต์แข่งใน GT3 Cup เครื่องยนต์สเปกเอ็นดูรานส์ S14 2.7 ลิตร ที่ทำในระดับปานกลางของเราจะมีอายุการใช้งานประมาณ 100 ชั่วโมงแข่ง ส่วนเครื่องยนต์สเปก sprint แน่นอนว่ามันจะมีอายุการใช้งานสั้นกว่านี้มาก เพราะความที่รอบการทำงานของเครื่องยนต์สูงกว่าและต้องแช่เอาไว้ที่รอบสูงสุดนานกว่า

ในแง่ของแรงม้าบนพื้นฐานของเครื่องขนาด 2.5 ลิตร อาจจะทำออกมาได้ดังนี้

ระดับพื้นฐาน Gr.A: 300-325 แรงม้า (คุณหรือช่างที่มีฝีมืออาจสามารถประกอบขึ้นเองได้จากชิ้นส่วนของเรา เครื่องยนต์ระดับนี้ง่ายต่อการบำรุงรักษา)

ระดับกลาง Gr.A: 330-350 แรงม้า (คุณหรือช่างที่มีฝีมือ “อาจจะ” ประกอบขึ้นเองได้จากชิ้นส่วนของเรา เครื่องแบบนี้ต้องการการบำรุงรักษาบ่อยกว่า)

ระดับสูง Gr.A: 350-370 แรงม้า (ต้องมีการเตรียมการเป็นการเฉพาะ มีแค่คนไม่กี่คนที่สามารถทำได้ เครื่องตัวนี้ต้องการการบำรุงรักษาถี่มาก)

ยูต้องการใช้ครัชต์คาร์บอน หรือลูกปืน/ฟลายวีลไฮดรอลิคด้วยหรือเปล่า? และยูใช้เกียร์และเฟืองท้ายแบบไหน? ชิ้นส่วนระบบส่งกำลังพวกนี้มีความจำเป็นที่จะต้องทำให้สัมพันธ์กับเครื่องยนต์ด้วยเช่นกัน นอกจากนี้เครื่องยนต์ ้hi-rev แบบนี้ยังต้องทำการเซท crank/pulley ใหม่อีกด้วย รวมไปถึงจะต้องใช้สายพาน K4 แทนสายพาน V-belt เดิมของมันด้วย ปั้มน้ำและ alternator ก็จะต้องทดให้หมุนช้าลง น้ำมันเครื่อง/อุณหภูมิน้ำมันเครื่องก็มีความสำคัญกับเครื่องรอบสูงๆแบบนี้ด้วย

ยังมีอีกหลายเรื่องที่เราจะต้องคุยกัน

John



Offline Flying Dutchman

  • Verified Member
  • Member
  • *****
  • Join Date: Dec 2005
  • Posts: 2,685
  • Last Login:April 15, 2018, 11:17:57 pm
เอาภาพเก่าๆที่หาดูไม่ค่อยง่ายมาประกอบหน่อยนะครับ

อันนี้เป็นภาพฉลองการผลิตคันที่ 5000
ครบจำนวนตามกฏ homologation ที่จะได้ลงแข่งเสียที

ผู้ชายที่ยืนด้านหลังขวาคือ Roberto Ravaglia ส่วนผู้หญิงที่ยืนด้านหน้าคือ Annette Meeuwissen นักแข่งหญิงคนเดียวของ BMW Motorsport ที่ขับให้กับทีม Linder

Offline Flying Dutchman

  • Verified Member
  • Member
  • *****
  • Join Date: Dec 2005
  • Posts: 2,685
  • Last Login:April 15, 2018, 11:17:57 pm
ดูชัดๆอีกที Annette Meeuwissen

ทำให้นึกถึงสาวซิ่งในยุคนี้อย่าง Monica Patrick ใน Indy และ Vanina Ickx ลูกสาวของ Jacky Ickx ใน DTM

Offline Mee GHBC-100

  • Verified Member
  • Member
  • *****
  • Join Date: Jul 2005
  • Posts: 4,851
  • Gender: Male
  • Last Login:March 22, 2016, 05:38:52 am


 :good:  ยอดเยี่ยมครับคุณต่อ   :good:



ไม่ได้ชิด  ก็ขอเพียงได้ชม         ไม่ได้สม ไม่เห็นแคร์อะไร   
ขอให้ได้รัก รัก รัก รัก รักเธอเข้าไว้  ไม่เช่นนั้น ใจฉัน ใจฉันคง หลุดลอย

Offline JFK

  • Verified Member
  • Member
  • *****
  • Join Date: Oct 2005
  • Posts: 3,070
  • Last Login:November 21, 2013, 02:14:35 pm
    • Classic Limousie Thailand
เชื่อไหมครับว่าผมไม่กล้าอ่านกระทู้นี้เลย ได้แต่ดูผ่านๆกลัวงานจะเข้า  :happy2: :happy2: :happy2: :>D

me too ....... 555  :grin:

Offline Flying Dutchman

  • Verified Member
  • Member
  • *****
  • Join Date: Dec 2005
  • Posts: 2,685
  • Last Login:April 15, 2018, 11:17:57 pm
ต่ออีกนิดนะครับ เอาให้ใจอ่อนกันไปข้างนึงเลย  :a_laugh:
 w^w

+++++++++++++++++++++++++++++++++++++

PH HEROES: BMW E30 M3 SPORT EVOLUTION


BMW มักจะผลิตสุดยอดผู้กล้าออกมาอย่างไม่เกรงกลัวฟ้าดินออกมาอยู่เสมอ อย่างเจ้ารถสปอร์ตซาลูนที่สามารถขับใช้งานได้ปกติในชีวิตประจำวันแต่ราคาเท่ากับ Porsche 911 คันนี้ บางทีอาจจะดูเหมือนเรื่องตลกที่ Porsche ใช้เวลาชั่วชีวิตอันยาวนานบนหนทางแห่งรถ Exotic กว่าจะมาเป็นวันนี้ แต่เจ้า M3 คันนี้ทำให้ Porsche ยิ้มไม่ออกไปเลย

เริ่มตั้งแต่ยุค 70s ที่ BMW 3.0 CSL ได้ขับเคี่ยวคู่คี่กับ 911 Carrera RS 2.7 ซึ่งจะเรียกได้ว่ามันเป็นรถที่ดีที่สุดของสายพันธุ์ Porsche ในขณะนั้น จนมาถึงยุคของ 3-series ที่เจ้า M3 ได้แสดงถึงสมรรถนะอันสุดยอดของมันในบนถนนและในสนามแข่ง จวบจนกระทั่งปลายยุค 80s เจ้า M3 ราคาแพงรุ่นหนึ่งได้ถือกำเนิดออกมาเพื่อจารึกยุครุ่งเรื่องของมันเป็นครั้งสุดท้าย ที่เรารู้จักชื่อรุ่นของมันว่า “Sport Evolution”

M3 ที่สืบสายพันธุ์ย้อนหลังกลับไปในปี 1981 รุ่นนี้ถูกตั้งราคาเริ่มต้นเอาไว้อย่างน่าขนลุกที่ 35,000 ปอนด์ (ประมาณ 1.8 ล้านบาท หรือประมาณ $50,000 – F/D) ซึ่งแพงกว่า M3 รุ่นปกติอยู่ถึง 10,000 ปอนด์ (ราคาที่แตกต่างนี้ซื้อ 318i E30 ได้หนึ่งคัน- F/D) และหากเอาออปชั่นใ่ส่เพิ่มเข้าไปสักสองสามอย่างด้วยราคาอาจจะขยับทะลุ 40,000 ปอนด์ขึ้นไปได้อย่างไม่ยากเย็นนัก มันไม่ใช่แค่แพงกว่า 944 S2 แต่มันยังแพงกว่า 964 Carrera 2 3.6 เสียด้วยซ้ำไป

หากคุณสงสัยว่าทำไมมันถึงได้แพงระเบิดระเบ้อถึงขนาดนี้ ก่อนอื่นคุณต้องทำความเข้าใจก่อนว่านี่คือรถแข่ง E30 ที่ BMW Motorsport ตั้งใจออกแบบมาเพื่อใช้งานในสนามแข่งตั้งแต่แรก จากนั้นจึงนำมันใส่กลับเข้าไปในสายพานการผลิตปกติเพื่อผลิตให้ครบจำนวนตามกฏ Homologation เพราะฉนั้น มันไม่ได้เป็นแค่รถรุ่นหนึ่งที่ถูกโมดิฟายขึ้นมาจากรถบ้านอย่าง 318i ที่มีอยู่แล้ว 5000 คัน แต่มันคือตัวแข่งสเปก Group A ที่ถูกผลิตออกมา 5000 คันจากสายการผลิตของรถบ้าน!

เครื่องยนต์รหัส S14 ของมันคือเครื่องยนต์ที่พัฒนามาจากเครื่องยนต์ M10 ที่เอามาผสมกับเทคโนโลยี่ระบบสี่วาล์ว/สูบ ที่มันถูกออกแบบมาเป็นเครื่องยนต์สี่สูบแบบนี้เพราะจะทำให้มันมีขนาดเล็กและมีน้ำหนักเบา นอกจากนี้ข้อเหวี่ยงที่สั้นกว่าจะทำให้มันสามารถใช้รอบเครื่องยนต์ที่สูงกว่า เมื่อเทียบกับเครื่องยนต์หกสูบที่มีข้อเหวี่ยงยาวที่มีแนวโน้มที่จะสั่นในรอบที่ต่ำกว่า วิศวกรของ BMW ได้ออกแบบข้อเหวี่ยงของมันขึ้นมาใหม๋อย่างแข็งแรงจนมันสามารถทำงานขึ้นไปที่ 10,000 rpm หรือสูงกว่าได้ ซึ่งสูงกว่าการทำงานของรอบเครื่องยนต์สี่สูบปกติได้ถึง 60%

ดูเผินๆแล้วตัวถังด้านนอกของ M3 อาจจะดูคล้ายกับ E30 รุ่นปกติทั่วไป แต่จริงๆแล้วสิ่งเดียวที่มันใช้ร่วมกับ E30 ปกติได้ก็มีเพียงแค่ฝากระโปรงหน้า วัตถุประสงค์ที่ซุ้มล้อที่ทำด้วยเหล็กถูกทำให้กว้างออกจนกลายเป็นเอกลักษณ์และแฟชั่นที่เตะตาบนถนนก็ถูกทำเพื่อให้สามารถใส่ล้อขนาดใหญ่ที่กว้างได้ถึง 10 นิ้วในสนามแข่ง

ตัวถังของมันถูกออกแบบอย่างจริงจังเพื่อมุ่งเน้นหลักอากาศพลศาสตร์เป็นหลัก ไม่เพียงแต่สปอยเลอร์หนึ่งที่ลึกเข้าไปในตัวถังมากขึ้นและสปอย์เลอร์หลังที่ใหญ่และสูงกว่าเดิม แต่ยังรวมไปถึง C-pillar ที่กว้างขึ้นเพื่อให้กระจกด้านหลังเอียงลาดกว่าเดิม เพื่อให้อากาศที่วิ่งผ่านหลังคาวิ่งตรงลงไปที่ปีกด้านหลังได้อย่างเต็มที่

กระจกบังลมหน้าและกระจกหลังถูกติดกาวยึดเข้ากับเฟรมเพิ่มความแข็งแรงของตัวถัง (เหมือน BMW รุ่นใหม่ๆ ส่วนของ E30 ปกติกระจกจะเสียบเข้าไปในคิ้วยางเฉยๆ- F/D) หาก E30 M3 คือรถที่ถูกพัฒนาด้วยเงินราคาแพงเพื่อให้เป็นรถแข่ง เพราะฉนั้น เจ้า Sport Evolution คันนี้คือการพัฒนาราคาแพงขึ้นไปอีกขั้นหนึ่งของรถที่ราคาแพงเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว

มันเป็นรุ่นที่มีการพัฒนาเพิ่มเติมขึ้นไปมากที่สุดในรุ่น Evolution ของมัน ปริมาตรกระบอกสูบถูกขยายขึ้นไปเป็น 2,467 ซีซี ทั้งนี้ต้องขอบคุณการขยายกระบอกสูบจาก 93.4 mm ขึ้นไปเป็น 95 mm รวมไปถึงการทำให้ช่วงชักยาวขึ้น ลูกสูบถูกลดความร้อนด้วยระบบ oil jets, แคมชาร์ฟองศา/lift สูงขึ้น, วาล์วไอดีใหญ่ขึ้น, และวาล์วไอเสียที่บรรจุโซเดียมเอาไว้ข้างใน (sodium-filled exhaust valves)

 (อันนี้ยังไม่เคยเห็นกับตา แต่อาจารย์เล็กเคยเล่าให้ฟังว่าแกเคยเจียร์วาล์วของตัวแข่ง Motorsport และพบว่ามันมีน้ำยาบรรจุอยู่ข้างใน –F/D)

แผ่นรีดอากาศด้านหน้าและด้านหลังของรุ่นนี้สามารถปรับได้เพื่อให้เหมาะสมกับสภาพของสนามแข่งที่แตกต่างกันไป และช่วงล่างถูกทำให้เตี้ยลงอีก 10 mm มันถูกลดน้ำหนักจากการใช้ฝากระโปรงหลัง, กระจกมองข้าง, และโครงกันชนที่เบาลง ซุ้มล้อถูกขยายให้ใหญ่ขึ้นสำหรับใส่ล้อขนาด 18” ในสนาม ส่วนรุ่นถนนจะเป็นล้อขนาด 16” ที่พ่นสี (Nogaro Silver Metallic- F/D) ถังน้ำมันมีขนาดเล็กลงเพื่อลดน้ำหนัก และปลั๊กหัวเทียนจะเป็นสีแดง ภายในจะเป็นเบาะ Recaro ทรงบักเก็ตซีท และพวงมาลัย M Technic II ที่หุ้มด้วยหนังกลับสีดำ M3 รุ่น Sport Evolution นี้จะมีให้เลือกเพียงสีดำ (Jet Black) ที่จะมีแถบสีแดงคาดที่กันชน และสีแดง (Brilliant Red) โดยจะมีแถบสีดำคาดที่กันชน เท่านั้น

และถามว่าสิ่งพิเศษที่ทำให้คนอื่นที่ไม่ได้มีมันเอาไว้ในครอบครองต้องอิจฉาจนน้ำตาร่วงคืออะไร คำตอบก็คือ ม้า 238 ตัว หรือ 201.50 แรงม้า/ตัน ที่ปล่อยออกมาอย่างเต็มที่ที่ 7000 rpm, อัตราเร่งจาก 0-60 mph ใน 6.1 วินาที และ 0-100 mph ภายใน 16.0 วินาที จนถึงไปถึงความเร็วสูงสุดที่ 154 mph ได้จนลืมหายใจ

เพื่อพิสูจน์ว่ามันแน่จริงอย่างที่ว่าเอาไว้ตามนั้นหรือเปล่าทำให้เราต้องเดินทางไปที่ Hertfordshire สถานที่ที่ซึ่งถ้าคุณเอารถออกมาจากโรงรถแล้วจะเจอถนนที่คดเคี้ยวไปตามหมู่บ้านที่ดูน่าสนุกสนานต่อขับขี่โดยเฉพาะเจ้า Sport Evolution คันนี้ รถคันนี้เป็นของชายหนุ่มที่หลงไหล BMW ชนิดเข้าเส้นคนหนึ่ง

เพื่อให้คุณนึกภาพออกว่าความหลงไหลในใบพัดสีฟ้าขาวของหนุ่มนี้มีอยู่ในเลือดขนาดไหน ลองมาดูรถคันอื่นที่เขาเอาไว้ใช้ชีวิตประจำวันดู: M1 สองคัน, 3.0 CSL หนึ่งคัน, E30 M3 สารพัดรุ่นหลายคัน, E46 M3 CSL หนึ่งคัน, E12 Alpina หนึ่งคัน, 2002 Tii หนึ่งคัน และรุ่นที่หายากๆอีกจำนวนหนึ่ง M3 Sport Evolution ของเขาคันนี้คือหนึ่งใน 40 คันที่ถูกส่งมาขายในอังกฤษ (ในจำนวนแค่ 600 คันที่ผลิตออกมาบนโลกใบนี้) สภาพของมันถ้าบอกว่ามันยังอยู่ในสภาพป้ายแดงออกห้างก็ยังน้อยไป

เมื่อเราเข้าไปนั่งและจัดแจงคาดเข็วขัดรัดตัวเข้ากับเบาะ Recaro ที่หุ้มหนังที่เป็นออปชั่น และปรับตำแหน่งการขับให้อยู่ในตำแหน่งเตรียมพร้อมโดยปรับหลังชันขึ้นนิดนึงและเลื่อนเบาะเข้าไปใกล้พวงมาลัยหุ้มหนังกลับของมันอีกหน่อย เรารู้สึกว่ามันตำแหน่งที่นั่งของมันทั้งสบายตัว และสบายตาเมื่อกวาดสายตาไปรอบๆ พวงมาลัยจับแน่นกระชับโดยไม่มีปุ่มปมอะไรให้เกะกะลูกกะตาเหมือนพวงมาลัยรุ่นใหม่ๆ

จากการที่มันเป็นรถพวงมาลัยซ้าย คุณจะรู้สึกว่าคุณนั่งชิดกับประตูมากกว่านั่งขับอยู่ทางด้านขวา ส่วนอื่นๆไม่มีอะไรแตกต่าง เกียร์เป็นแบบ dog-leg แต่ก่อนที่ผมจะเหยียบครัชต์ดึงเกียร์หนึ่งของมันลงมาที่ด้านล่างขวา ลองมาดูเจ้าปุ่มเล็กๆที่อยู่ข้างๆเบรกมือนี่ก่อน

มันคือโช๊คอัพที่ควบคุมด้วยไฟฟ้า (Electronic Damper Control) ของ Boge ที่ถือว่าเป็นผู้บุกเบิกของระบบโช๊คอัพไฟฟ้า มันสามารถปรับระดับความแข็งได้สามระดับ: Komfort (K), Normal (N), และ Sport (S) ในตอนนี้ผมหมุนมันเอาไปไว้ที่ตรงกลางก่อน

เมื่อเคลื่อนตัวออกไป ผมรู้สึกได้อย่างชัดเจนว่ามันมีแรงบิดเพียงพอที่จะเอาตัวถังที่หนัก 1200 kg ของมันเคลื่อนที่ออกไป และจะทำให้ขับได้ง่ายบนถนนปกติ ผมบอกเจ้าของรถว่าสิ่งเดียวที่ผมจะต้องใช้เวลาสร้างความคุ้นเคยสักหน่อยก็คือแพทเทอร์นของเกียร์ของมัน โดยเฉพาะการที่จะต้องนั่งขับอยู่ทางด้านซ้ายทำให้ผมต้องก้มลงมามองตำแหน่งเกียร์เป็นระยะๆ

ถึงแม้ว่ารอบเครื่องยนต์สูงสุดตามสเปกจะบอกเอาไว้ที่ 7000 rpm แต่มันสามารถกวาดขึ้นไปได้ถึง 7200 rpm และมันพอจะทำให้ผมนึกภาพออกว่าอุปนิสัยของรถคันนี้เป็นอย่างไร และเมื่อขับลงเนินไปเลี้ยวเข้าไปในถนนสายรองและหลังจากแซงรถบรรทุกที่ขับช้าขวางอยู่ข้างหน้าขึ้นไปเรียบร้อยแล้ว ผมบอกตัวเองว่าได้เวลาที่จะทำความรู้จักถึงก้นบึ้งของเจ้า Sport Evolution แล้ว

รอบเครื่องยนต์กวาดปรู๊ดขึ้นไปเกือบจะทันที่ที่เท้ากดคันเร่ง เมื่อมันขึ้นไปถึง 5000 rpm คุณจะรู้สึกเหมือนกับว่ามันกำลังจะหมดแล้ว แต่อย่าเพิ่งถอนคันเร่งกดแช่ค้างเอาไว้อีกนิดนึงคุณจะรู้สึกว่ามันจะดึงขึ้นมาอีกสองเท่าตอนที่มันกวาดขึ้นไปถึง 6000 rpm เหมือนเครื่องยนต์ที่มีระบบ V Tec ของ Honda

แต่สมรรถนะที่ไต่ขึ้นอย่างรวดเร็วก็ยังไม่ถือว่าเป็นจุดเด่นของ Sport Evolution จุดเด่นของมันคือระบบพวงมาลัยที่ส่งความรู้สึกจากล้อขึ้นมาเหมือนรถแข่งแท้ๆ ถึงมันจะกระเทือน ดึง และฉกไปฉกมาในมือแต่ข้อดีของอาการแบบนี้ก็ืคือคุณจะสามารถจับอาการที่อยู่ใต้ท้องรถนั่นได้อย่างเป๊ะๆ นอกจากนี้การนั่งชิดกับพวงมาลัยโดยมีพวงมาลัยหนังกลับอยู่ในมือเป็นความรู้สึกที่ผ่อนคลาย

แต่พวงมาลัยที่ตอบสนองอย่างรวดเร็วและคมเหมือนใบมีดโกนกลับทำให้พวงมาลัยของมันเบาอย่างไม่น่าเชื่อ ความรู้สึกแบบนี้ทำให้ผมหยุดพล่ามและเริ่มอัดมันอย่างหนักหน่วง รวมไปถึงเริ่มคุ้นเคยกับจังหวะเกียร์และจังหวะเหยียบครัชต์

เมื่อด้านซ้ายของรถเหยียบขึ้นไปบนเนินอันหนึ่ง ตัวถังที่แข็งแรงเป็นพิเศษของมันลอยขึ้นเหมือนกำลังปืนขึ้นไปบนฟุตบาท ถ้าผมมันได้นั่งซุกต่ำลงไปที่เบาะ ผมอาจจะหลุดลงไปนั่งอยู่กับพื้น มันเป็นรถ exotic ที่อยู่ในร่างของ E30 ที่สร้างความปรารถนาที่จะอัดให้หนักขึ้นและเร็วขึ้นจนผมเกือบลืมไปว่ามันเป็นรถสะสมที่หายากรุ่นหนึ่ง

heel & toe ศามารถทำได้อย่างง่ายดายด้วยเกียร์ที่เข้าได้อย่างรวดเร็วของมัน มันเป็นรถที่หายากเพียงไม่กี่รุ่นที่แทบจะทำให้คุณเกิดอาการ tunnel vision ได้ในขณะที่เพ่งไปข้างหน้าด้วยความเร็ว (ผมไม่รู้ว่าจะแปลคำนี้ว่าอะไรดีนะครับ มันเป็นอาการไม่เชิงว่าหลงทิศ แต่อาการมันจะเหวอๆเหมือนกับว่าเรากำลังขับรถอยู่ในความมืดโดยเห็นภาพด้านหน้าเพียงบางส่วน เหมือนขับอยู่ในอุโมงค์แล้วเห็นแค่แสงที่ปลายอุโมงค์เหมือนชื่อที่เรียกมัน – F/D) มันวิ่งเกาะหนึบเข้าไปในโค้งด้วยความเร็วสูงได้เป็นอย่างดีจากกลไกของช่วงล่างที่ตอบสนองทุกรูปแบบของโค้งของมัน

แม้กระทั่งบนถนนเปียกลื่นที่มักจะส่งท้ายรถให้ลื่นไถลออกไปมันก็ยังวิ่งเกาะเข้าไปได้อย่างว่านอนสอนง่ายเหมือนช่วงล่างชั้นดีตามแบบฉบับของ E30 เมื่อปรับช่วงล่างเป็นโหมด “Sport” มันก็ยิ่งให้ความรู้สึกแบบฮาร์ดคอร์ยิ่งขึ้น ถึงแม้ว่าความรู้สึกรวมๆจะบอกผมว่าโหมดนี้เหมาะแก่การขับในสนามมากกว่า

เบรกให้ความรู้สึกที่ละเอียดและวางใจได้เช่นเดียวกับระบบควบคุมอื่นๆของมัน เมื่อลดความเร็วลงอีกหน่อย คุณจะกลับคืนสู่ความรู้สึกที่สะดวกสบายของห้องโดยสารที่มีขนาดพอเหมาะของรถสปอร์ตที่สามารถใช้งานจริงในชีวิตประจำวันได้อย่างลงตัว

เวลาแห่งความสนุกสนานผ่านไปอย่างรวดเร็วเมื่อถึงเวลาที่จะต้องเอารถไปคืน มันเป็นเรื่องน่าประหลาดใจที่ BMW สามารถผลิตรถรุ่นพิเศษสุดๆขึ้นมาจากพื้นฐานของรถธรรมดาที่ใช้งานปกติทั่วไปออกมาได้ วันพรุ่งนี้คุณอาจจะสามารถไปหาซื้อ E30 สี่สูบสักคันหนึ่งได้ในราคาสัก 400 ปอนด์ แต่สำหรับ M3 ที่เพอร์เฟคแบบคันนี้ คุณอาจจะต้องใช้เงินถึง 20,000 – 30,000 ปอนด์ แต่ก็ถือว่าไม่เลวนักเมื่อแลกกับความรู้สึกของรถแข่งทัวริ่งแท้ๆหนึ่งคัน

+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

เรียบเรียงจากบทความ PH HEROES: BMW E30 M3 SPORT EVOLUTION ของ Oliver Stallwood
โดย Torpan K “The Flying Dutchman”/ Feb 2009



« Last Edit: April 05, 2009, 12:00:48 am by Flying Dutchman »

Offline SAKDA

  • Verified Member
  • Member
  • *****
  • Join Date: Mar 2008
  • Posts: 698
  • Country: 00
  • Gender: Male
  • Last Login:February 04, 2019, 11:37:48 am
บทความดีๆอย่างนี้อยากให้มีไปเรื่อยๆต่อเนื่องครับ...ถ้ามีเวลาว่างเข้ามาโพสอีกนะครับ
สำนึกดีสังคมดี

Offline เจ้าบ้านบางกอกฯ

  • If you love classic cars, you are my friend.
  • Administrator
  • Member
  • *****
  • Join Date: Jun 2005
  • Posts: 11,080
  • Country: 00
  • Gender: Male
  • Last Login:August 06, 2023, 02:03:15 pm
    • Bangkok Classiccar
สุดยอดแห่งข้อมูลครับพี่ต่อ Flying Dutchman  :good: :good: &v& &v&
ขอบคุณที่เอาข้อมูลมาแบ่งปันเพื่อน ๆ นะครับ

 w^w
If you love classiccars, you're my friend

1950 Riley RMA
‘55 MB 190SL / 1968 W112 Coupe /W108 280SE /W116 450SEL
‘57 MGA
‘68 AR 105 Gt Junior / Giulietta’77
‘82 RR Corniche


MB W180/111/110/108/114
AR Giulia Super/Spider
BMW E30 (2)
Jag XJ S1
Porsche 924 /911E
VW Golf MKI Cabrio/Thing


www.facebook.com/groups/bangkokclassiccar

Offline ae

  • Verified Member
  • Member
  • *****
  • Join Date: Sep 2005
  • Posts: 3,467
  • Gender: Male
  • Last Login:May 11, 2018, 10:00:21 pm
อ่านสนุก แถมได้ความรู้ด้วย ขอบคุณพี่ต่อครับ

            :good: :good: :good:


It's fun... when it runs! Trust me.

Tags:
 

* Permissions

  • You can't post new topics.
  • You can't post replies.
  • You can't post attachments.
  • You can't modify your posts.




Facebook Comments