เครื่องยนต์ 2332 CC ของตัวแข่ง M3 ทางเรียบ/แรลลี่นี้ให้กำลังสูงสุดออกมาราว 280 แรงม้า และคาดว่าที่ 300 แรงม้าน่าจะเป็นจุดสูงสุดที่เพียงพอกับการใช้งาน ปัญหาใหญ่อันเดียวของเครื่องยนต์ที่ทางทีมพบในตอนที่ Beguin ในการแข่งขันที่ Garrigues แรลลี่ก็คือเซนเซอร์วัดอุณหภูมิน้ำตัวหนึ่งเกิดรวนขึ้นมาทำให้กล่องสมองเครื่องยนต์เข้าใจว่าอุณหภูมิของน้ำอยู่ที่ -30 องศาเซลเซียส มันคงจะเข้าใจว่าเครื่องยนต์กำลังพยายามสตาร์ทอยู่ในหิมะที่หนาวเหน็บในสวีเดน มันจึงสั่งการให้หัวฉีดจ่ายน้ำมันจนน้ำมันท่วม ผลของเหตุการณ์นี้ทำให้ทาง BMW ต้องออกแบบโปรแกรมของ ECU ของมันใหม่
กล่องสมองของ Bosch DME สำหรับตัวแข่งแรลลี่นี้ถูกโปรแกรมใหม่ให้อ่านค่าอุณหภูมิของท่อไอเสียไม่แตกต่างไปจากตัวแข่งทางเรียบมากนัก แต่สิ่งที่แตกต่างเป็นอย่างมากก็คือโปรแกรมป้องกันการอ่านค่าผิดพลาดล่วงหน้า กล่าวคือ หากเซนเซอร์ตัวใดส่งค่าที่อ่านได้ออกมามากหรือน้อยกว่าค่าปกติอย่างผิดปกติ กล่อง ECU จะถูกสั่งให้เข้าใจว่ามันเป็นสัญญาณที่ได้จากการอ่านที่ผิดพลาดไม่ใช่ค่าจริง และให้ทำการกลับไปทำงานที่โหมดปกติที่อยู่บนพื้นฐานของค่าแรงดันหนึ่งบรรยากาศที่เครื่องยนต์มีอุณหภูมิอยู่ที่ 80 องศาเซลเซียสซึ่งเป็นอุณหภูมิทำงานปกติ เพื่อให้เครื่องยนต์ยังคงทำงานได้ใกล้เคียงกับการทำงานปกติต่อไป
เครื่องยนต์ส่งกำลังผ่านครัตช์แข่งแผ่นเดียวขนาด 8 ½ นิ้วแบบปกติของ AP ไปยังเกียร์ธรรมดาห้าสปีดแบบ dog-leg ที่มีตำแหน่งเกียร์หนึ่งดึงลงล่างของ Getrag โดยมีอัตราทดเริ่มตั้งแต่ 2.3:1 ที่เกียร์หนึ่งจนไปถึง 1:1 ที่เกียร์ห้า
Lapworth มองว่าระบบขับเคลื่อนที่เพลาหลังคือจุดอ่อนสำหรับการแข่งขันแรลลี่ของ M3 “มันเป็นแบบธรรมดา แต่ก็ไม่ถือว่าเป็นจุดอ่อนที่ร้ายแรงอะไร เฟืองบายศรี (Crownwheel) และเฟืองเดือยหมู (Pinion) ถูกออกแบบให้มีขนาดใหญ่และแข็งแรง โดยเฉพาะเฟืองบายศรีของมันมีขนาดใหญ่พอๆกับที่ใช้อยู่ในรถบรรทุก แต่เพลาข้างที่ทำจากเหล็กหล่อของมันถึงจะแข็งแรงแต่มีขนาดค่อนข้างเล็ก เส้นผ่าศูนย์ของมันควรจะมีขนาดใหญ่กว่านี้อีกเล็กน้อย เราเคยเจอประสพการณ์เพลาข้างบิดในเจ้า 6R4 เรายังไม่เคยขับจนเพลาข้างมันขาด แต่เราเคยล่อเสียบิดไปสองอัน”
ในขณะที่ต้องยอมรับว่าการพัฒนาตัวแข่งแรลลี่จะต้องใช้วิธี “ลองผิดลองถูก” แต่ดูเหมือนว่า Lapworth ไม่ได้มีความกังวลใจกับเรื่องความแข็งแรงของเพลาข้างของมันเลย “ตอนทดสอบเรามักใช้วิธีออกตัวแบบปล่อยไหล (rolling start) มันจะดีกว่าแบบออกตัวจากหยุดนิ่ง (standing start) เพราะมันจะไม่ทำให้เกิดความร้อนที่ยาง แต่ในการแข่งขันที่ Charleval เราจงใจที่จะออกตัวจากหยุดนิ่ง หลังจาก 500 กิโลเมตรผ่านไปกับการออกตัวจากหยุดนิ่ง 110 ครั้งเราทำการรื้อเอาเฟืองท้ายของมันออกมาดูและพบว่ามันยังอยู่ในสภาพที่เพอร์เฟคที่ยังสามารถใช้งานต่อไปได้”
เฟืองท้ายของมันประกอบไปด้วย limited-slip แบบแผ่นของ ZF แบบเดียวกับที่ใช้ในตัวแข่งทางเรียบแต่ถูกเซทมาค่อนข้างแข็งทีเดียวโดยไม่ต้องใช้ pre-load มาก อัตราทดเืฟืองท้ายแบบครบชุดมีให้เลือกตั้งแต่ 5.28 จนถึง 3.50 โดยจะเพิ่มขึ้นทีละ 0.25 ในแต่ละเบอร์ ซึ่งทีม Prodrive เลือกใช้อัตราทดต่ำสุดสำหรับการแข่งขัน Tarmac “เราไม่ได้มีปัญหากับการเลือกอัตราทดของเฟืองท้าย ถึงจะมีอัตราทดที่ต่ำกว่านี้เราก็วิ่งได้ แต่ปัญหามันจะเป็นเรื่องของความทนทานที่ใครๆก็รู้ว่าเมื่อเฟืองบายศรีใหญ่ขึ้นเท่าไหร่เฟืองเดือยหมูก็จะกลายเป็นเล็กลงเท่านั้นและความเลวร้ายก็จะเกิดขึ้นจากความทนทานที่จะค่อยๆลดลงไป”
ถุงน้ำมัน (bag tank) ขนาด 60 ลิตรถูกนำมาใช้แทนถังน้ำมันขนาด 110 ลิตรของตัวแข่งทางเรียบ ตัวแข่งแรลลี่ BMW M3 ของ Prodrive ในสภาพ “พร้อมแข่ง” ที่เส้นสตาร์ทจะมีน้ำหนักรวม 1050 กิโลกรัม ในขณะที่ BMW Motorsport ยังคงถกเถียงกับ FISA ถึงกฏของ WTC (World Touring Car) ว่าการนำเอาชิ้นส่วนที่ทำจากพลาสติก หรือคาร์บอนไฟเบอร์ หรือเคฟลาร์ มาใช้จะถือว่าผิดกฏหรือไม่ เพราะฉนั้นทาง Prodrive จึงต้องถือตามกฏที่ใช้บังคับแน่ๆแล้วไว้ก่อน “เพราะสถานะการของการแข่งขันแรลลี่ค่อนข้างเปราะบาง เราจึงเลือกวิธีที่ถูกกฏเอาไว้ก่อนโดยการใช้ชิ้นส่วนพลาสติกที่เป็นอุปกรณ์มาตรฐานมาจากโรงงานในระหว่างที่รอข้อสรุปของประเด็นถกเถียงระหว่าง BMW กับผู้ที่กำลังจะมาเป็นผู้ยิ่งใหญ่ในวงการในเรื่องที่ว่าชิ้นส่วนที่ทำจากเคฟลาร์ถือว่าเป็นชุดแต่งที่เป็นอุปกรณ์เสริมจากโรงงาน (genuine variant options) ที่สามารถนำมาใช้ได้อย่างถูกกฏหรือไม่ และจากนั้นทาง FISA ก็คงจะต้องมานั่งนับจำนวนชิ้นส่วนที่ทำจากเคฟลาร์อย่างฝากระโปรง สปอยเลอร์ และชิ้นส่วนต่างๆว่ามันมีมากเกินไปจนเลยเถิดของคำจำกัดความของชุดแต่งที่เป็นอุปกรณ์เสริมจากโรงงานหรือไม่
“แต่สุดท้ายแล้วเราคงจะต้องทำมันให้เบาลงไปกว่านี้แน่นอน แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ต้องขึ้นอยู่กับการตัดสินของ FISA ด้วย เรายังไม่รู้เลยว่าเขาจะอนุญาติให้ประตูและฝากระโปรงต้องมีควาหนาเท่าไหร่ ในตอนนี้ก็ทำได้แค่คาดเดากันไปต่างๆนาๆ”
Lapworth คาดการณ์เอาไว้ว่าพละกำลังของ Sierra Cosworth จะเป็นคู่แข่งตัวฉกาจของ M3 ในการแข่งขันแรลลี่ “ในอีกมุมมองหนึ่งก็ถือว่าเราก็มีความพร้อมเหมือนกับทีมอื่นๆ มันเป็นรถที่มีน้ำหนักเบาที่ขับดีทีเดียว นอกจากนี้ยังมีความทนทานเชื่อถือได้” แต่ถ้าทุกสิ่งเป็นอย่างที่เขาอยากให้เป็น มัน “น่าจะ” เบากว่านี้
ในตอนนี้จะเป็นเพียงความร่วมมือกันระหว่าง Prodrive และ BMW France และ BMW Belgium ส่วนข้อตกลงระหว่าง BMW Motorsport เขาบอกว่า “ [พวกเขา] ไม่ได้ให้การสนับสนุนทางการเงินอะไรกับเรามากนัก แต่เราได้รับความร่วมมือจากพวกเขาแบบ 100 เปอร์เซนต์เต็ม พวกเขาให้ชิ้นส่วนอะไหล่เล็กๆน้อยกับพวกเราบ้าง แต่เกือบทั้งหมดจะขายให้โดยมีส่วนลดที่เยอะพอสมควร นอกจากนี้ยังให้ความช่วยเหลือในเรื่องอื่นๆอีกมาก”
ในขณะที่ Lapworth กำลังรีบวิ่งไปต่อแถวที่เคาท์เตอร์ตรวจหนังสือเดินทาง เขาพูดให้เราฟังถึงเรื่องต้นทุนของการแข่งขันแรลลี่ Touring Car รุ่นขับเคลื่อนสองล้อนี้ว่า “ถ้าจะนับของทุกสิ่งที่เราซื้อมาเพื่อประกอบเป็นรถแข่ง M3 แรลลี่หนึ่งคันก็จะตกราวๆคันละ 70,000 ปอนด์ นี่ยังไม่ได้รวมต้นทุนอื่นๆอย่างพวกค่าแรงและค่าโสหุ้ยอื่นๆ”
มันทำให้รู้สึกว่า Metro 6R4 กลายเป็นของถูกไปเลยใช่ไหม?
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++Flying Dutchman/ May 2009 VDO ประกอบ Patrick Snijers นักแข่งชาวเบลเยี่ยมของทีม Prodrive ในการแข่งขัน Manx Rally ในปี 1988
http://www.youtube.com/watch?v=ZJB8BtkSEHM