M3 Group A แบบ Complete car พร้อมแข่ง BMW Motorsport เคาะราคาเอาไว้ที่ DM 150,000 (ตัว ราคานี้เมื่อเมื่อ 20 ปีที่แล้ว เทียบเป็นมูลค่าเท่าไหร่ในปี 2007 นี้ลองเทียบดูครับ แค่คิดก็ขนลุกแล้ว ตอนนั้น M3 ปกติคันละ DM 58,000 –F/D) ในราคานี้คุณจะได้อุปกรณ์หลักๆ เช่น
- Complete Engine ของเครื่องยนต์สเปก Group A หนึ่งเครื่อง
- ตัวถังพร้อมดามทั้งคันและ Roll Cage ที่ทำำมาจากโลหะผสมพิเศษที่ BMW Motorsport เคลมว่ามีน้ำหนักเบากว่าอลูมิเนียม ทำให้น้ำหนักลดลงเหลือแค่ 960 kg และอาจจะเหลือแค่ 940 kg ในฤดูการแข่งปี 1988 Roll Cage นั้ทำให้ตัวถังรับแรงบิดได้เป็นสามเท่าของตัวถังปกติซึ่งอยู่ในเกณฑ์พอๆกับตัวถังของรถ Formula 1
- Air Jack ที่สี่มุมของตัวรถ
- ช่วงล่าง/จุดยึด เบรก ตามสเปก Group A เช่่นกัน ตำแหน่งจุดยึดช่วงล่างทุกจุดต้องอยู่ที่เดิมตามกฏของ FIA แต่สามารถให้เปลี่ยนวัสดุของจุดยึดได้ BMW Motorsport จึงทำมันออกมาเป็น Ball Joint ทั้งหมด รวมไปถึงลูกปืนล้อที่ใหญ่ขึ้นที่นำมาจากตัวแข่ง 635CSi จุดยึดด้านหลังถูกออกแบบมาให้สามารถปรับ Camber และ Caster ได้อย่างรวดเร็ว
- ถังน้ำมันนิรภัยที่ออกแบบมาเป็นพิเศษที่ใชช้เซนเซอร์ที่ดัดแปลงมาจากเซนเซอร์ของ Airbag จะส่งสัญญาณไปตัดการทำงานของปั๊มน้ำมันทันทีเมื่อรถเบรกหรือลดความเร็วลงด้วยแรงที่มากกว่า 5 จี โดยมีโฟมเป็นเปลือกหุ้มเอาไว้อีกชั้นหนึ่งขนาดความจุ 24.2 แกลลอน ที่ BMW Motorsport การันตีว่าสามารถดูดน้ำมันออกมาจากถังได้แม้ตอนที่เหลือน้ำมันแค่ 1% ของถัง ด้วยความจุขนาดนี้บวกกับการกินน้ำมันอยู่ที่ 8.1 mpg ทำให้ M3 สามารถลดจำนวนการเข้า pit ในระหว่างการแข่งได้อย่างน้อยหนึ่งครั้งในบางสนาม ท่อเติมน้ำมันแบบแรงดันสูง ที่ถูกออกแบบไว้ที่แผ่นปิดท้ายรถด้านนอก เพื่อให้เจ้าหน้าที่เติมน้ำมันไม่ต้องเสียเวลายกถังหรือท่อน้ำมันสูงขึ้นไปที่ระดับไหล่ ทำให้เติมน้ำมันได้เร็วขึ้น อีกทั้งยังไม่เกะกะเจ้าหน้าที่เปลี่ยนยางด้วย
- เกียร์ของ Getrag มี่เอามาจากตัวแข่ง 635CCSi เบรกด้านหน้าเป็นของ Brembo ที่มีร่องระบายและเจาะรู ส่วนเบรกหลังเป็นของ ATE แต่ BMW เห็นว่า ABS ไม่ได้มีประโยชน์อะไรในสนามแข่งจึงถอดมันออก (จริงๆแล้วในการแข่งขัน Group A ไม่อนุญาติให้ใช้ และต่อมา BMW เอา ABS มาใช้เป็นทีมแรกในตัวแข่ง M3 ในการแข่งขัน DTM – F/D) และเฟืองท้ายที่มีอัตราทดให้เลือกตั้งแต่ 3.15:1 จนถึง 5.28:1 ซึ่งจะทำให้ M3 Group A มีอัตราเร่ง 0-60mph เร็วที่สุดที่ 4.5 วินาทีที่อัตราทดเฟืองท้าย 4.44:1 (เมื่อเทียบกับ 6.7 วินาที ที่อัตราทด 3.25:1 ในตัว M3 รุ่นปกติ) และที่ความเร็วสูงสุด 145 mph
- ในตัวรถ เบาะสี่ที่นั่งถูกลดลงเหลือที่นั่่งคนขับที่เดียวที่ทำมาจาก Kevlar น้ำหนักเบาแค่ 4 kg และอุปกรณ์เครื่องวัด รวมไปถึงที่คอนโซลจะมีหลอดไฟสามหลอด สีเขียว-เหลือง-แดง ที่บอกนักแข่งให้รู้อัตราการกินน้ำมันของเครื่องยนต์ในขณะนั้นด้วย
ในส่วนของเครื่องยนต์ BMW Motorsport เน้นเป็นอย่างยิ่งที่จะไม่แนะนำให้ทีมแข่งไปรื้อมันออกมาหรือไปยุ่งอะไรกับมัน แต่ช่างของ BMW Motorsport ที่ส่งไปช่วยทีมแข่งนั้นๆ มักจะได้รับการบอกเล่าความลับที่พวกทีมเหล่านั้นค้นพบบ่อยๆ แต่จะให้รู้ความลับทั้งหมดนะเหรอ? ยาก…เพราะ BMW Motorsport มักจะทำการอัพเกรดชิ้นส่วนต่างๆที่อยู่ในนั้นอยู่เสมอ
จากการทดลองขับในวันนั้น รู้สึกได้ว่ารถสามารถขับได้ไม่ยากอย่างที่คิด ด้วยช่วงครัชมีระยะจับเพียง 1 mm ทำให้สามารถควบคุมการส่งกำลังของเครื่องยนต์ได้อย่างรวดเร็วและรู้สึกได้ว่า Power Band ของเครื่องกว้างมาก เริ่มตั้งแต่ 5500 รอบจนไปตัดที่ 8300 รอบตามที่เซ็ทเอาไว้สำหรับการขับของเราในวันนั้น ที่ 7000 รอบเป็นจุดที่รู้สึกได้ชัดถึงพละกำลังของมันมากที่สุด BMW Motorsport ได้ทำการทดสอบชุดครัชหลายแบบจนสุดท้ายมาจบที่ของ Fichtel & Sachs ซึ่งให้ความรู้สึกที่เบาแต่หนึบมาก
เกียร์ Getrag ให้ความรู้สึกที่ชิดและกระชับ และนุ่มนวลจนแทบจะไม่ต้องใช้แรงบังคับหรือใช้ชุด Quick-shift มาช่วยเลย ส่วนเบรกต้องใช้เวลาสักพักรอจนมันเข้าสู่อุณหภูมิทำงานจึงจะรู้สึกว่ามันมีประสิทธิภาพสูงมาก ล้ออัลลอยผสมถึงแม้จะมีขนาดกว้างถึงเก้านิ้ว แต่มันก็มีน้ำหนักเบากว่าที่คิดเอาไว้มาก เมื่อเติมน้ำมันเต็มถังที่ 24.2 แกลลอน ทำให้ Weight Distribution หน้า/หลังของมันเท่ากับ 50/50 พอดี ที่จุดนี้รู้สึกว่าการทรงตัวของรถเป็นธรรมชาติและควบคุมทิศทางของท้ายรถได้ง่ายมากโดยใช้กำลังของเครื่องยนต์เป็นตัวควบคุม ซึ่งจุดนี้จะเป็นข้อได้เปรียบของมันเหนือคู่แข่งที่ BMW Motorsport ได้คาดการณ์เอาไว้เช่น Ford, Holden, Nissan, และ Maserati รวมไปถึงทีมอื่นๆที่มีแนวโน้มที่จะเอารถแนว Touring มาลงแข่งใน Group A ทั้งที่เพื่อเป็นการแข่งขันจริงๆและเพื่อเป็นการสร้าง Brand Awareness ของตนต่อสาธารณชน เหมือนกับตอนที่ BMW เริ่มวางมือจากการแข่งขัน Formula เพราะชนะเสียจนคนไม่ได้รู้สึกตื่นเต้นอะไรแล้วว่า BMW จะชนะหรือไม่ จึงได้เบี่ยงเบนความสนใจมาที่การแข่งขันรถ Touring แทน โดยนำมันมา Homologate ในรถ M3 และนำออกขายในสายพานการผลิตปกติ และทำมันออกมาจนเป็นรถแข่งพันธุ์โหดแบบแท้ๆและแบบเต็มๆสำหรับสนามแข่งโดยเฉพาะแบบเจ้า M3 Group A คันนี้ โดยผสมผสานเทคโนโลยีของรถ Formula ลงไปแบบไม่ยากเย็นนัก
แต่ตอนที่ยากเย็นที่สุดก็น่าจะเป็นตอนที่ BMW Motorsport จะต้องนำรถคันนี้ไปตรวจเพื่อให้ผ่าน Inspection ตามกฏของ Group A พวก FIA เค้าคงอยากฟังคำอธิบายเหมือนกันว่าเทคโนโลยีจากรถแข่ง Formula มันลงมาอยู่ในรถแข่ง Group A ได้อย่างไร !
The Flying Dutchman: October 2007