9 ก.ย. 2550
ผมถึงโรงพยาบาลหกโมงเช้า ตลอดเส้นทางผมเห็นพระกำลังเดินบิณฑบาต นานมากแล้วที่แม่ไม่มีโอกาสได้ใส่บาตร ผมจำได้ว่าตั้งแต่เล็ก แม่สอนให้ผมใส่บาตร แม่ชอบทำบุญ แม้กระทั่งตลอดเดือนเศษที่ผ่านมาพวกเราก็จะบอกแม่ว่ากินอาหารเยอะๆจะได้มีแรง เพราะใกล้เทศกาลกินเจแล้ว จะได้ออกไปกินเจ
ผมกดลิฟต์ซ้ำๆ วันนี้ลิฟต์ช้ามาก..ก็คงด้วยความร้อนลนในใจที่กำลังประดังกันดันขึ้นมาจนผมรู้สึกคล้ายจะเป็นลม
ผลักประตูห้องเข้าไปภาพที่ผมเห็นตรงหน้า แม่นอนราบในชุดกินเจสีขาวที่แม่ชอบ เสื้อสีขาวบริสุทธิ์ลายลูกไม้ และกางเกงที่หลวมจนเห็นได้ชัดว่าแม่ผ่ายผอมลงไปแค่ไหน หน้ากากออกซิเจนครอบอยู่บนใบหน้า ด้วยจังหวะของลมหายใจที่รวยริน กล้วยไม้ช่อใหญ่ที่พี่เขยตัดจากต้นมาใส่แจกันไว้ให้แม่ ถูกวางไว้บนตู้ข้างหัวเตียงอย่างมีความหมาย
เหมือนเป็นเหน็บชาที่ขาอย่างรุนแรงและฉับพลัน ผมแทบจะก้าวเดินไม่ออก เสมือนมีก้อนอะไรใหญ่ๆดันขึ้นมาจุกที่คอ
“เป็นยังไง” ผมถามพี่เลี้ยงและน้าสะใภ้ที่เฝ้าแม่อยู่ทั้งคืน
“ตั้งแต่เย็นวานที่พี่มา ก็เจอคุณยายนอนหลับ ก็นอนอยู่ท่านี้มาตลอดโดนไม่ได้ตื่นทั้งคืน พยาบาลมาวัดความดันตอนดึกแล้วพบว่าความดันเริ่มจะลดลง และหลังตีสองเป็นต้นมายิ่งลดลงอย่างต่อเนื่อง จนอ่อนมากแล้ว” พี่เลี้ยงตอบ
น้าสะใภ้บอกให้ผมไปขอขมาแม่ ผมเดินไปกราบแทบเท้ากลืนน้ำลายแรงๆหลายที เพราะไม่อยากให้น้ำตาต้องไหลเปียกเท้าแม่ ได้แต่บอกว่าไม่ต้องห่วงอะไรทั้งนั้น
ชั่วครู่พี่สาวก็มาถึง ตามมาด้วยพี่สะใภ้และป้า ป้ามองหน้าน้องสาวของเขาด้วยน้ำตาที่ค่อยๆเอ่อท่วมหน้า เหมือนเวลาแต่ละนาทีผ่านไปอย่างรวดเร็ว ผมอยากให้เวลาหยุดอยู่ตรงนั้น แต่สิ่งที่แทบจะหยุดก่อนเวลาคือลมหายของผมที่มองอาการหายใจเข้าออกของแม่จนแทบลืมหายใจ
6.43 น. ลมหายใจที่แผ่วลงเรื่อยๆก็มีอาการสะดุดแล้วหยุดนิ่งไป...
“คุณยายไปแล้ว” พี่เลี้ยงบอกทุกคน
ความเงียบสนิทปกคลุมทั้งห้อง ไม่มีน้ำตาสักหยดที่จะไหล แต่เหมือนหูอื้อ ตาพร่า และมีก้อนที่โตกว่าเดิมจุกขึ้นมาที่ลำคอ นาทีนั้นแม้แต่น้ำลายก็กลืนได้ยากเต็มทน แต่ที่กลืนไม่ลงเลยตอนนั้นก็คือ..ความรู้สึกสูญเสียที่กำลังเอ่อนองท่วมหัวใจ แล้วทุกคนก็พูดได้เพียง “ให้ท่านไปดี ไม่ต้องห่วงอะไร หลับให้สบาย”
ผมรู้ดีว่าสัจธรรมของชีวิตคืออะไร แต่ความรู้สึกถึงการไม่ยอมรับความจริงก็ปริ่มล้นความรู้สึก ผมเดินไปกุมมือแม่บีบเบาๆ ได้แต่มองหน้าแม่ อยากมองให้นานแสนนานเพื่อบันทึกทุกรายละเอียดลงในความทรงจำ
อดไม่ได้ที่จะเอื้อมนิ้วไปกดชีพจร มือซ้ายก็นิ่ง กดที่มือขวาก็นิ่ง ผมเข้าใจสัจธรรมของชีวิตดี แต่ก็อดไม่ได้ที่จะเอื้อมมือไปกดชีพจรที่คอเพื่อยืนยัน แล้วท้ายที่สุดก็อดไม่ได้ที่จะเอานิ้วไปรอที่จมูก
ไร้ชีพจร ไร้ลมหายใจ...
นับจากวันที่ 9 ส.ค. ที่หมอบอกกับผมว่า แม่จะอยู่ได้ไม่เกิน 3 เดือน จนถึงวันนี้เพียงแค่ 1 เดือนเท่านั้นเอง ภารกิจยื้อชีวิตแม่ครั้งนี้ล้มเหลวลงอย่างสิ้นเชิง
แม้ว่านับแต่บัดนี้เป็นต้นไปแม่จะไม่มีชีพจร แม่จะไม่มีลมหายใจ แม่จะไม่มีความรู้สึกทุกข์ร้อนใดๆอีกแล้ว แต่สำหรับผม..คนที่ยังอยู่ ผมจะไม่มีวันที่ลืมภาพดีๆของวันเวลาที่แม่ยังมีชีพจร ยังมีลมหายใจ
..ถึงผมจะมีโอกาสมอบพวงมาลัยให้แม่เพียงวันแม่เดียว แต่ทุกๆวันของผมคือวันแม่..ตลอดไป..
ขอให้แม่ไปสู่สุขคติ...ผมรักแม่ครับ...