15 กรกฎาคม พ.ศ. 2457
วันพระราชสมภพ พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าพีรพงศ์ภาณุเดช หรือที่คนทั่วโลกรู้จักกันในนาม "พ. พีระ" ราชานักแข่งรถผู้ยิ่งยง แชมป์กรังปรีซ์ 3 ปี
ซ้อนระหว่างปี 2479-2481 ทรงเป็นพระโอรสในในจอมพล สมเด็จฯ เจ้าฟ้าภาณุรังษีสว่างวงศ์ กรมพระยาภาณุพันธุวงศ์วรเดช กับ หม่อมเล็ก ยง
ใจยุทธ ประสูติ ณ วังบูรพาภิรมย์ หลังจากที่พระมารดาก็ถึงแก่กรรมเมื่อพระองค์พีระฯ มีระชันษาได้สี่ปี พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว
รัชกาลที่ 7 ซึ่งมีศักดิ์เป็นพระเชษฐา ทรงเมตตารับเข้ามาอยู่ในความอุปการะอย่างใกล้ชิด ทรงเข้าศึกษาที่โรงเรียนเทพศิรินทร์ จนกระทั่งพระชันษา
ได้ 13 ปี ก็ทรงไปศึกษาต่อที่โรงเรียนอีตัน ประเทศอังกฤษ ที่นี่พระองค์ได้ทรงพบกับ พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าจุลจักรพงษ์ พระญาติที่มีพระ
ชันษาแก่กว่าถึงเจ็ดปี ผู้มีบทบาทอย่างสูงในการก้าวสู่ความเป็นนักแข่งรถของพระองค์พีระฯ ในเวลาต่อมา ในระหว่างที่ศึกษาอยู่ที่นี่ พระบิดาของ
พระองค์ก็เสด็จทิวงคตในปี 2472 อีกสามปีต่อมาก็เกิดการเปลี่ยนแปลงการปกครองในสยาม สิ้นสมัยสมบูรณาญาสิทธิราชย์ พระองค์เจ้าจุลฯ จึง
ทรงรับอุปการะพระองค์แทน พระองค์พีระฯ ทรงเป็นนักสู้ผู้มุ่งมั่น ชอบเอาชนะ ทรงเล่นกีฬาได้ทุกประเภท อีทั้งยังทรงมีความสามารถทางศิลปะด้วย
จุดเริ่มต้นของนักแข่งรถก็คือ พระองค์ทรงขับรถยนต์พาพระองค์เจ้าจุลฯ เสด็จไปยังที่ต่าง ๆ ทรงขับรถยนต์ได้คล่องแคล่วรวดเร็วและปลอดภัย เมื่อ
พระชันษาครบ 19 ปี พระองค์จุลฯ จึงทรงซื้อรถสปอร์ตเอ็มจี (MG) ประทานให้เป็นของขวัญ องค์จุลฯ และพระองค์พีระฯ ทรงโปรดกีฬาแข่งรถ
ในช่วงฤดูกาลแข่งรถในยุโรป ทั้งสองพระองค์มักหาโอกาสไปชมอยู่เสมอ ๆ โดยเฉพาะพระองค์พีระฯ มักจะปรารภอยู่เนือง ๆ ว่าอยากมีโอกาสลง
สนามแข่งขันด้วย ในที่สุดเมื่อต้นฤดูกาลแข่งรถเดือนมีนาคม 2477 พระองค์จุลฯ ก็ตัดสินใจตั้งคอกรถแข่ง "หนูขาว" (White Mouse Racing)
ตามพระนาม "หนู" ของพระองค์ แล้วนำรถ "ไรลีย์" (Riley Imp) มาแต่งเป็นรถแข่ง ทาสีฟ้า พร้อมส่งพระองค์พีระฯ ลงสนามแข่งในนาม "พ. พี
ระ" (B.Bira) ทรงเริ่มแข่งรถครั้งแรกในสนามแข่งบรู๊กแลนด์ส ปรากฏว่านักแข่งหน้าใหม่เข้าเส้นชัยเป็นอันดับที่ 8 เพราะเป็นรถที่ล้าสมัย สมรรถนะ
ไม่อาจเทียบกับรถแข่งจริง ๆ ได้ แต่ละครั้งจึงได้อันดับไม่ดีไปกว่าที่ 5 ทั้ง ๆ ที่ฝีมือของพระองค์เริ่มเป็นที่กล่าวขวัญในหน้าหนังสือพิมพ์หลายฉบับ
ในระยะ นั้นแล้ว เมื่อพระชันษาครบ 21 ปี พระองค์จุลฯ ก็ทรงสั่งซื้อรถแข่งอังกฤษยี่ห้อ "อีอาร์เอ" (ERA) ขนาด 1,500 ซีซี. ซึ่งเป็นรถแข่ง
ขนาดเบา แต่แล่นได้ถึง 130 ไมล์/ชม. ประทานให้แก่พระองค์พีระฯ ทรงตั้งชื่อว่า "รอมิวลุส" (Romulus) จากนั้นวันที่ 20 กรกฎาคม 2478 "พ.
พีระ" ก็นำรถคันนี้พุ่งทะยานเข้าเส้นชัยเป็นอันดับที่ 2 ในการแข่งขันที่เมืองดิเอปป์ ฝรั่งเศส สร้างความตกตะลึงให้แก่คนดูรอบสนาม จากนั้นก็ได้
อันดับที่ 2 ในการแข่งขันที่กรุงเบิร์น ประเทศสวิตเซอร์แลนด์อีกครั้ง ในปี 2479 พระองค์จุลฯ ก็ได้ซื้อรถอีอาร์เอขนาดเดียวกันอีกคันให้พระองค์พี
ระฯ ชื่อว่า "รีมุส" (Remus) และในวันที่ 11 เมษายน 2479 ชื่อ "พ. พีระ" นักแข่งมือสมัครเล่น ก็ได้รับการจารึกลงในประวัติศาสตร์กีฬาแข่งรถ
โลก พร้อมกับธงไตรรงค์ได้โบกสะบัดอยู่บนยอดเสา ในฐานะคนไทยและคนเอเชียคนแรกที่สามารถคว้าชัยชนะในการแข่งขันรถนานาชาติใน
รายการ Circut de Monaco (MC) ได้สำเร็จ ในปี 2479 ทรงแข่งขันเก็บคะแนนได้สูงสุดและติดต่อกันถึงปี 2481 รวมสามปีซ้อน จนได้รางวัล
"โกลสตาร์แฮตทริก" หรือ "ดาราทองสามปีซ้อน" นับเป็นคนแรกที่ไม่ใช่ชาวอังกฤษ ทั้งยังทำคะแนนได้สูงสุดในรอบ 10 ปี มีผู้กล่าว่า พ. พีระมี
ความสามารถขับรถในทางโค้ง หากเป็นทางตรงรถคันที่เครื่องแรงกว่าอาจแซงท่านได้ ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 พระองค์จุลฯ และพระองค์พีระฯ
ได้สมัครเป็น "โฮมการ์ด" หรือเจ้าหน้าที่อาสารักษาดินแดนของอังกฤษ พระองค์พีระฯ ทรงเลือกเป็นนักบิน หลังจากสงครามสงบ ทรงเข้าเป็นนักบิน
ของบริษัทเดินอากาศไทย แต่ทำได้ไม่นาน วิญญาณนักแข่งรถก็เรียกร้องให้กลับยุโรปอีกครั้ง ในปี 2497 ทรงนำรถ "มาเซเรตี" (Maserati) เข้า
เส้นชัยเป็นอันดับที่ 4 ในรายการกรังปรีซ์ที่ประเทศฝรั่งเศส (1954 French Grand Prix) ซึ่งเป็นฤดูการแข่งขันปีสุดท้าย พระองค์ก็หันหลังให้
อาชีพนักแข่งรถเมื่อมีพระชันษา 40 ปี กลับเมืองไทยมาตั้งบริษัทขายรถยนต์เฟียต (Fiat) แต่ก็ไม่ประสบความสำเร็จ ในปี 2511 ก็ได้ตั้งบริษัทพี
ระแอร์ แต่ก็ขาดทุน ในบั้นปลายชีวิตท่านหันมาใช้ชีวิตสันโดษ มักจะขับรถไปตามชนบท ศึกษาชีวิตความเป็นอยู่ของชาวนาชาวไร่ ต่อมาก็ทรงก่อ
ตั้งมูลนิธิ "ภาณุรังษี" ขึ้น เพื่อยกระดับความเป็นอยู่ของชาวนาชาวไร่ที่ยากจนให้ดีขึ้น ทำมาได้ 13 ปีก็ยังไม่สำเร็จเนื่องจากติดขัดเรื่องเงินทุน ท่าน
จึงตัดสินใจเดินทางไปอังกฤษเพื่อติดต่อหาแหล่งเงินทุนมาสนับสนุนมูลนิธิ แล้วในคืนวันคริสต์มาส วันที่ 24 ธันวาคม 2528 ท่านก็สิ้นชีวิตอย่าง
เดียวดายที่ชานชาลารถไฟใต้ดินในกรุงลอนดอน ด้วยโรคหัวใจวาย รวมอายุ 71 ปี ปิดฉากชีวิตเจ้าชายไทยผู้เคยก้าวสู่จุดสูงสุดในฐานะยอดนักแข่ง
รถระดับโลก เมื่อยามชีวิตล้มเหลวก็ไม่เคยปริปากขอความช่วยเหลือจากใคร แม้สังคมจะพากันหลงลืมท่าน หากแต่ยังคงมุ่งมันทำตามปณิธานที่จะ
ช่วยเหลือสังคมอย่างจริงจัง จวบจนลมหายใจสุดท้าย
ข้อมูลจาก
http://www.sarakadee.com/web/modules.php?name=News&file=article&sid=2244