ต่ออีกนิดนะครับ เอาให้ใจอ่อนกันไปข้างนึงเลย
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++
PH HEROES: BMW E30 M3 SPORT EVOLUTIONBMW มักจะผลิตสุดยอดผู้กล้าออกมาอย่างไม่เกรงกลัวฟ้าดินออกมาอยู่เสมอ อย่างเจ้ารถสปอร์ตซาลูนที่สามารถขับใช้งานได้ปกติในชีวิตประจำวันแต่ราคาเท่ากับ Porsche 911 คันนี้ บางทีอาจจะดูเหมือนเรื่องตลกที่ Porsche ใช้เวลาชั่วชีวิตอันยาวนานบนหนทางแห่งรถ Exotic กว่าจะมาเป็นวันนี้ แต่เจ้า M3 คันนี้ทำให้ Porsche ยิ้มไม่ออกไปเลย
เริ่มตั้งแต่ยุค 70s ที่ BMW 3.0 CSL ได้ขับเคี่ยวคู่คี่กับ 911 Carrera RS 2.7 ซึ่งจะเรียกได้ว่ามันเป็นรถที่ดีที่สุดของสายพันธุ์ Porsche ในขณะนั้น จนมาถึงยุคของ 3-series ที่เจ้า M3 ได้แสดงถึงสมรรถนะอันสุดยอดของมันในบนถนนและในสนามแข่ง จวบจนกระทั่งปลายยุค 80s เจ้า M3 ราคาแพงรุ่นหนึ่งได้ถือกำเนิดออกมาเพื่อจารึกยุครุ่งเรื่องของมันเป็นครั้งสุดท้าย ที่เรารู้จักชื่อรุ่นของมันว่า “Sport Evolution”
M3 ที่สืบสายพันธุ์ย้อนหลังกลับไปในปี 1981 รุ่นนี้ถูกตั้งราคาเริ่มต้นเอาไว้อย่างน่าขนลุกที่ 35,000 ปอนด์ (ประมาณ 1.8 ล้านบาท หรือประมาณ $50,000 – F/D) ซึ่งแพงกว่า M3 รุ่นปกติอยู่ถึง 10,000 ปอนด์ (ราคาที่แตกต่างนี้ซื้อ 318i E30 ได้หนึ่งคัน- F/D) และหากเอาออปชั่นใ่ส่เพิ่มเข้าไปสักสองสามอย่างด้วยราคาอาจจะขยับทะลุ 40,000 ปอนด์ขึ้นไปได้อย่างไม่ยากเย็นนัก มันไม่ใช่แค่แพงกว่า 944 S2 แต่มันยังแพงกว่า 964 Carrera 2 3.6 เสียด้วยซ้ำไป
หากคุณสงสัยว่าทำไมมันถึงได้แพงระเบิดระเบ้อถึงขนาดนี้ ก่อนอื่นคุณต้องทำความเข้าใจก่อนว่านี่คือรถแข่ง E30 ที่ BMW Motorsport ตั้งใจออกแบบมาเพื่อใช้งานในสนามแข่งตั้งแต่แรก จากนั้นจึงนำมันใส่กลับเข้าไปในสายพานการผลิตปกติเพื่อผลิตให้ครบจำนวนตามกฏ Homologation เพราะฉนั้น มันไม่ได้เป็นแค่รถรุ่นหนึ่งที่ถูกโมดิฟายขึ้นมาจากรถบ้านอย่าง 318i ที่มีอยู่แล้ว 5000 คัน แต่มันคือตัวแข่งสเปก Group A ที่ถูกผลิตออกมา 5000 คันจากสายการผลิตของรถบ้าน!
เครื่องยนต์รหัส S14 ของมันคือเครื่องยนต์ที่พัฒนามาจากเครื่องยนต์ M10 ที่เอามาผสมกับเทคโนโลยี่ระบบสี่วาล์ว/สูบ ที่มันถูกออกแบบมาเป็นเครื่องยนต์สี่สูบแบบนี้เพราะจะทำให้มันมีขนาดเล็กและมีน้ำหนักเบา นอกจากนี้ข้อเหวี่ยงที่สั้นกว่าจะทำให้มันสามารถใช้รอบเครื่องยนต์ที่สูงกว่า เมื่อเทียบกับเครื่องยนต์หกสูบที่มีข้อเหวี่ยงยาวที่มีแนวโน้มที่จะสั่นในรอบที่ต่ำกว่า วิศวกรของ BMW ได้ออกแบบข้อเหวี่ยงของมันขึ้นมาใหม๋อย่างแข็งแรงจนมันสามารถทำงานขึ้นไปที่ 10,000 rpm หรือสูงกว่าได้ ซึ่งสูงกว่าการทำงานของรอบเครื่องยนต์สี่สูบปกติได้ถึง 60%
ดูเผินๆแล้วตัวถังด้านนอกของ M3 อาจจะดูคล้ายกับ E30 รุ่นปกติทั่วไป แต่จริงๆแล้วสิ่งเดียวที่มันใช้ร่วมกับ E30 ปกติได้ก็มีเพียงแค่ฝากระโปรงหน้า วัตถุประสงค์ที่ซุ้มล้อที่ทำด้วยเหล็กถูกทำให้กว้างออกจนกลายเป็นเอกลักษณ์และแฟชั่นที่เตะตาบนถนนก็ถูกทำเพื่อให้สามารถใส่ล้อขนาดใหญ่ที่กว้างได้ถึง 10 นิ้วในสนามแข่ง
ตัวถังของมันถูกออกแบบอย่างจริงจังเพื่อมุ่งเน้นหลักอากาศพลศาสตร์เป็นหลัก ไม่เพียงแต่สปอยเลอร์หนึ่งที่ลึกเข้าไปในตัวถังมากขึ้นและสปอย์เลอร์หลังที่ใหญ่และสูงกว่าเดิม แต่ยังรวมไปถึง C-pillar ที่กว้างขึ้นเพื่อให้กระจกด้านหลังเอียงลาดกว่าเดิม เพื่อให้อากาศที่วิ่งผ่านหลังคาวิ่งตรงลงไปที่ปีกด้านหลังได้อย่างเต็มที่
กระจกบังลมหน้าและกระจกหลังถูกติดกาวยึดเข้ากับเฟรมเพิ่มความแข็งแรงของตัวถัง (เหมือน BMW รุ่นใหม่ๆ ส่วนของ E30 ปกติกระจกจะเสียบเข้าไปในคิ้วยางเฉยๆ- F/D) หาก E30 M3 คือรถที่ถูกพัฒนาด้วยเงินราคาแพงเพื่อให้เป็นรถแข่ง เพราะฉนั้น เจ้า Sport Evolution คันนี้คือการพัฒนาราคาแพงขึ้นไปอีกขั้นหนึ่งของรถที่ราคาแพงเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว
มันเป็นรุ่นที่มีการพัฒนาเพิ่มเติมขึ้นไปมากที่สุดในรุ่น Evolution ของมัน ปริมาตรกระบอกสูบถูกขยายขึ้นไปเป็น 2,467 ซีซี ทั้งนี้ต้องขอบคุณการขยายกระบอกสูบจาก 93.4 mm ขึ้นไปเป็น 95 mm รวมไปถึงการทำให้ช่วงชักยาวขึ้น ลูกสูบถูกลดความร้อนด้วยระบบ oil jets, แคมชาร์ฟองศา/lift สูงขึ้น, วาล์วไอดีใหญ่ขึ้น, และวาล์วไอเสียที่บรรจุโซเดียมเอาไว้ข้างใน (sodium-filled exhaust valves)
(อันนี้ยังไม่เคยเห็นกับตา แต่อาจารย์เล็กเคยเล่าให้ฟังว่าแกเคยเจียร์วาล์วของตัวแข่ง Motorsport และพบว่ามันมีน้ำยาบรรจุอยู่ข้างใน –F/D)
แผ่นรีดอากาศด้านหน้าและด้านหลังของรุ่นนี้สามารถปรับได้เพื่อให้เหมาะสมกับสภาพของสนามแข่งที่แตกต่างกันไป และช่วงล่างถูกทำให้เตี้ยลงอีก 10 mm มันถูกลดน้ำหนักจากการใช้ฝากระโปรงหลัง, กระจกมองข้าง, และโครงกันชนที่เบาลง ซุ้มล้อถูกขยายให้ใหญ่ขึ้นสำหรับใส่ล้อขนาด 18” ในสนาม ส่วนรุ่นถนนจะเป็นล้อขนาด 16” ที่พ่นสี (Nogaro Silver Metallic- F/D) ถังน้ำมันมีขนาดเล็กลงเพื่อลดน้ำหนัก และปลั๊กหัวเทียนจะเป็นสีแดง ภายในจะเป็นเบาะ Recaro ทรงบักเก็ตซีท และพวงมาลัย M Technic II ที่หุ้มด้วยหนังกลับสีดำ M3 รุ่น Sport Evolution นี้จะมีให้เลือกเพียงสีดำ (Jet Black) ที่จะมีแถบสีแดงคาดที่กันชน และสีแดง (Brilliant Red) โดยจะมีแถบสีดำคาดที่กันชน เท่านั้น
และถามว่าสิ่งพิเศษที่ทำให้คนอื่นที่ไม่ได้มีมันเอาไว้ในครอบครองต้องอิจฉาจนน้ำตาร่วงคืออะไร คำตอบก็คือ ม้า 238 ตัว หรือ 201.50 แรงม้า/ตัน ที่ปล่อยออกมาอย่างเต็มที่ที่ 7000 rpm, อัตราเร่งจาก 0-60 mph ใน 6.1 วินาที และ 0-100 mph ภายใน 16.0 วินาที จนถึงไปถึงความเร็วสูงสุดที่ 154 mph ได้จนลืมหายใจ
เพื่อพิสูจน์ว่ามันแน่จริงอย่างที่ว่าเอาไว้ตามนั้นหรือเปล่าทำให้เราต้องเดินทางไปที่ Hertfordshire สถานที่ที่ซึ่งถ้าคุณเอารถออกมาจากโรงรถแล้วจะเจอถนนที่คดเคี้ยวไปตามหมู่บ้านที่ดูน่าสนุกสนานต่อขับขี่โดยเฉพาะเจ้า Sport Evolution คันนี้ รถคันนี้เป็นของชายหนุ่มที่หลงไหล BMW ชนิดเข้าเส้นคนหนึ่ง
เพื่อให้คุณนึกภาพออกว่าความหลงไหลในใบพัดสีฟ้าขาวของหนุ่มนี้มีอยู่ในเลือดขนาดไหน ลองมาดูรถคันอื่นที่เขาเอาไว้ใช้ชีวิตประจำวันดู: M1 สองคัน, 3.0 CSL หนึ่งคัน, E30 M3 สารพัดรุ่นหลายคัน, E46 M3 CSL หนึ่งคัน, E12 Alpina หนึ่งคัน, 2002 Tii หนึ่งคัน และรุ่นที่หายากๆอีกจำนวนหนึ่ง M3 Sport Evolution ของเขาคันนี้คือหนึ่งใน 40 คันที่ถูกส่งมาขายในอังกฤษ (ในจำนวนแค่ 600 คันที่ผลิตออกมาบนโลกใบนี้) สภาพของมันถ้าบอกว่ามันยังอยู่ในสภาพป้ายแดงออกห้างก็ยังน้อยไป
เมื่อเราเข้าไปนั่งและจัดแจงคาดเข็วขัดรัดตัวเข้ากับเบาะ Recaro ที่หุ้มหนังที่เป็นออปชั่น และปรับตำแหน่งการขับให้อยู่ในตำแหน่งเตรียมพร้อมโดยปรับหลังชันขึ้นนิดนึงและเลื่อนเบาะเข้าไปใกล้พวงมาลัยหุ้มหนังกลับของมันอีกหน่อย เรารู้สึกว่ามันตำแหน่งที่นั่งของมันทั้งสบายตัว และสบายตาเมื่อกวาดสายตาไปรอบๆ พวงมาลัยจับแน่นกระชับโดยไม่มีปุ่มปมอะไรให้เกะกะลูกกะตาเหมือนพวงมาลัยรุ่นใหม่ๆ
จากการที่มันเป็นรถพวงมาลัยซ้าย คุณจะรู้สึกว่าคุณนั่งชิดกับประตูมากกว่านั่งขับอยู่ทางด้านขวา ส่วนอื่นๆไม่มีอะไรแตกต่าง เกียร์เป็นแบบ dog-leg แต่ก่อนที่ผมจะเหยียบครัชต์ดึงเกียร์หนึ่งของมันลงมาที่ด้านล่างขวา ลองมาดูเจ้าปุ่มเล็กๆที่อยู่ข้างๆเบรกมือนี่ก่อน
มันคือโช๊คอัพที่ควบคุมด้วยไฟฟ้า (Electronic Damper Control) ของ Boge ที่ถือว่าเป็นผู้บุกเบิกของระบบโช๊คอัพไฟฟ้า มันสามารถปรับระดับความแข็งได้สามระดับ: Komfort (K), Normal (N), และ Sport (S) ในตอนนี้ผมหมุนมันเอาไปไว้ที่ตรงกลางก่อน
เมื่อเคลื่อนตัวออกไป ผมรู้สึกได้อย่างชัดเจนว่ามันมีแรงบิดเพียงพอที่จะเอาตัวถังที่หนัก 1200 kg ของมันเคลื่อนที่ออกไป และจะทำให้ขับได้ง่ายบนถนนปกติ ผมบอกเจ้าของรถว่าสิ่งเดียวที่ผมจะต้องใช้เวลาสร้างความคุ้นเคยสักหน่อยก็คือแพทเทอร์นของเกียร์ของมัน โดยเฉพาะการที่จะต้องนั่งขับอยู่ทางด้านซ้ายทำให้ผมต้องก้มลงมามองตำแหน่งเกียร์เป็นระยะๆ
ถึงแม้ว่ารอบเครื่องยนต์สูงสุดตามสเปกจะบอกเอาไว้ที่ 7000 rpm แต่มันสามารถกวาดขึ้นไปได้ถึง 7200 rpm และมันพอจะทำให้ผมนึกภาพออกว่าอุปนิสัยของรถคันนี้เป็นอย่างไร และเมื่อขับลงเนินไปเลี้ยวเข้าไปในถนนสายรองและหลังจากแซงรถบรรทุกที่ขับช้าขวางอยู่ข้างหน้าขึ้นไปเรียบร้อยแล้ว ผมบอกตัวเองว่าได้เวลาที่จะทำความรู้จักถึงก้นบึ้งของเจ้า Sport Evolution แล้ว
รอบเครื่องยนต์กวาดปรู๊ดขึ้นไปเกือบจะทันที่ที่เท้ากดคันเร่ง เมื่อมันขึ้นไปถึง 5000 rpm คุณจะรู้สึกเหมือนกับว่ามันกำลังจะหมดแล้ว แต่อย่าเพิ่งถอนคันเร่งกดแช่ค้างเอาไว้อีกนิดนึงคุณจะรู้สึกว่ามันจะดึงขึ้นมาอีกสองเท่าตอนที่มันกวาดขึ้นไปถึง 6000 rpm เหมือนเครื่องยนต์ที่มีระบบ V Tec ของ Honda
แต่สมรรถนะที่ไต่ขึ้นอย่างรวดเร็วก็ยังไม่ถือว่าเป็นจุดเด่นของ Sport Evolution จุดเด่นของมันคือระบบพวงมาลัยที่ส่งความรู้สึกจากล้อขึ้นมาเหมือนรถแข่งแท้ๆ ถึงมันจะกระเทือน ดึง และฉกไปฉกมาในมือแต่ข้อดีของอาการแบบนี้ก็ืคือคุณจะสามารถจับอาการที่อยู่ใต้ท้องรถนั่นได้อย่างเป๊ะๆ นอกจากนี้การนั่งชิดกับพวงมาลัยโดยมีพวงมาลัยหนังกลับอยู่ในมือเป็นความรู้สึกที่ผ่อนคลาย
แต่พวงมาลัยที่ตอบสนองอย่างรวดเร็วและคมเหมือนใบมีดโกนกลับทำให้พวงมาลัยของมันเบาอย่างไม่น่าเชื่อ ความรู้สึกแบบนี้ทำให้ผมหยุดพล่ามและเริ่มอัดมันอย่างหนักหน่วง รวมไปถึงเริ่มคุ้นเคยกับจังหวะเกียร์และจังหวะเหยียบครัชต์
เมื่อด้านซ้ายของรถเหยียบขึ้นไปบนเนินอันหนึ่ง ตัวถังที่แข็งแรงเป็นพิเศษของมันลอยขึ้นเหมือนกำลังปืนขึ้นไปบนฟุตบาท ถ้าผมมันได้นั่งซุกต่ำลงไปที่เบาะ ผมอาจจะหลุดลงไปนั่งอยู่กับพื้น มันเป็นรถ exotic ที่อยู่ในร่างของ E30 ที่สร้างความปรารถนาที่จะอัดให้หนักขึ้นและเร็วขึ้นจนผมเกือบลืมไปว่ามันเป็นรถสะสมที่หายากรุ่นหนึ่ง
heel & toe ศามารถทำได้อย่างง่ายดายด้วยเกียร์ที่เข้าได้อย่างรวดเร็วของมัน มันเป็นรถที่หายากเพียงไม่กี่รุ่นที่แทบจะทำให้คุณเกิดอาการ tunnel vision ได้ในขณะที่เพ่งไปข้างหน้าด้วยความเร็ว (ผมไม่รู้ว่าจะแปลคำนี้ว่าอะไรดีนะครับ มันเป็นอาการไม่เชิงว่าหลงทิศ แต่อาการมันจะเหวอๆเหมือนกับว่าเรากำลังขับรถอยู่ในความมืดโดยเห็นภาพด้านหน้าเพียงบางส่วน เหมือนขับอยู่ในอุโมงค์แล้วเห็นแค่แสงที่ปลายอุโมงค์เหมือนชื่อที่เรียกมัน – F/D) มันวิ่งเกาะหนึบเข้าไปในโค้งด้วยความเร็วสูงได้เป็นอย่างดีจากกลไกของช่วงล่างที่ตอบสนองทุกรูปแบบของโค้งของมัน
แม้กระทั่งบนถนนเปียกลื่นที่มักจะส่งท้ายรถให้ลื่นไถลออกไปมันก็ยังวิ่งเกาะเข้าไปได้อย่างว่านอนสอนง่ายเหมือนช่วงล่างชั้นดีตามแบบฉบับของ E30 เมื่อปรับช่วงล่างเป็นโหมด “Sport” มันก็ยิ่งให้ความรู้สึกแบบฮาร์ดคอร์ยิ่งขึ้น ถึงแม้ว่าความรู้สึกรวมๆจะบอกผมว่าโหมดนี้เหมาะแก่การขับในสนามมากกว่า
เบรกให้ความรู้สึกที่ละเอียดและวางใจได้เช่นเดียวกับระบบควบคุมอื่นๆของมัน เมื่อลดความเร็วลงอีกหน่อย คุณจะกลับคืนสู่ความรู้สึกที่สะดวกสบายของห้องโดยสารที่มีขนาดพอเหมาะของรถสปอร์ตที่สามารถใช้งานจริงในชีวิตประจำวันได้อย่างลงตัว
เวลาแห่งความสนุกสนานผ่านไปอย่างรวดเร็วเมื่อถึงเวลาที่จะต้องเอารถไปคืน มันเป็นเรื่องน่าประหลาดใจที่ BMW สามารถผลิตรถรุ่นพิเศษสุดๆขึ้นมาจากพื้นฐานของรถธรรมดาที่ใช้งานปกติทั่วไปออกมาได้ วันพรุ่งนี้คุณอาจจะสามารถไปหาซื้อ E30 สี่สูบสักคันหนึ่งได้ในราคาสัก 400 ปอนด์ แต่สำหรับ M3 ที่เพอร์เฟคแบบคันนี้ คุณอาจจะต้องใช้เงินถึง 20,000 – 30,000 ปอนด์ แต่ก็ถือว่าไม่เลวนักเมื่อแลกกับความรู้สึกของรถแข่งทัวริ่งแท้ๆหนึ่งคัน
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
เรียบเรียงจากบทความ PH HEROES: BMW E30 M3 SPORT EVOLUTION ของ Oliver Stallwood
โดย Torpan K “The Flying Dutchman”/ Feb 2009