ขออนุญาตผู้เขียนเรียบร้อยแล้วครับ
ตำนาน Ford Escort Mexico ที่โลกไม่ลืม
ย้อนความหลังเมื่อครั้งคนเขียนยังหนุ่ม
ช่วงที่ “อชาติ โรจน์ปิตุฆาต” ยังเป็นอนุมูลของโปรตีนพวกกรดอะมิโนและกำลังตัดสินใจว่าจะมาเกิดเป็นอะไรดีนั้น เป็นประมาณปี คศ.1969 เขาตัดสินใจอยู่นานทีเดียวระหว่างการมาเกิดเป็นสัตว์ 2 เท้า หรือ 4 เท้า จนในที่สุดใช้วิธีหลับตากดปุ่ม “Enter” ฟลุคไปเป็นอ๊อพชั่น 2 เท้าประเภท “คน” ระบบรีโมทคอนโทรลจึงสั่งการไปที่พลังปราณควบคุมทิศทางของดาวตกให้พุ่งเข้าสู่โลกมนุษย์ที่ครอบครัวชายทุ่งแห่งหนึ่ง และบังเอิญที่ไม่มีใครเอานิ้วไปชี้เนื่องจากดึกมากแล้ว หนึ่งปีถัดมาเขาก็ลืมตาดูโลกคือปลายปี 1970 อันเป็นช่วงที่การแข่งขันแรลลี่มาราธอนระดับโลก “London-Mexico” ระยะทางกว่า 16,000 ไมล์เพิ่งเสร็จสิ้นลงพอดี
ช่วงนั้นพี่ชายคนก่อนหน้าอายุประมาณสี่สิบเศษแล้ว ระหว่างถูกแม่ใช้ไกวเปลขับเสภาอะไรไม่เป็นจึงเล่าเรื่องรถแทน โดยเล่าไปทีละรุ่นๆ “อชาติ” จำได้ว่า Ford Escort “Mexico” เป็นรถที่พี่ชายเขาประทับใจมาก ต่อไปนี้จะขอจำแลง…เอ๊ย…จำลองสถานการณ์ในคืนวันนั้น
Ford Escort ที่มีประวัติยืนยาวมาตั้งแต่ยุคปลาย 60 มาจนถึงปลายยุค 90 นั้นมีหลายหลากรุ่นมากแต่ที่นักเลงรถรุ่นเก่าไม่เคยลืมมีอยู่ 3-4 ตัวในบอดี้ MK I, MK II เท่านั้นเพราะบ้านเราเล่นกันเยอะ พอมายุคที่เริ่มหันมาขับหน้าก็เริ่มเสื่อมความนิยมไป กลายเป็นยุคที่รถญี่ปุ่นเข้ามาแทนที่ กำเนิดของ Escort นั้นเริ่มต้นในปี 1968 เพื่อเข้ามาแทนที่รุ่น Anglia ที่วิ่งเกลื่อนกรุงเทพฯ ในสมัยที่ผม…เอ๊ย…พี่ชายของ “อชาติ” (ชื่อ “อมนุษย์”) ยังเป็นเด็ก จำได้ว่าบริษัท แองโกลไทยมอเตอร์ เป็นผู้นำเข้ามาจำหน่ายจากประเทศอังกฤษ (ซึ่งจริงๆ แล้วโรงงาน Ford ในเยอรมันก็ผลิตรถรุ่นนี้ด้วยเช่นกันแต่เป็นพวงมาลัยซ้าย) วางเครื่อง 2 ขนาดคือ 1.1 และ 1.3 ลิตรเป็นโอเวอร์เฮดวาล์วทำจากโรงงาน Kent ทั้งคู่ ตัวท้อปเป็นเครื่อง 1.6 ลิตร DOHC ที่บ้านเราไม่ได้นำเข้ามา ซึ่งทั้ง 3 ตัวไม่ได้มีฤทธิ์เดชอะไรในต่างประเทศและบ้านเราเพราะเป็นรถที่เอาไว้ใช้งานประจำวัน (ไอ้โรงงาน Kent แห่งนี้ก็เป็นพันธมิตรของ Ford เชี่ยวชาญด้านการผลิตเครื่องยนต์ Ford มักสั่งให้ผลิตมาวางในรถรุ่นเก่าหลายรุ่นเช่น Cortina ตั้งแต่ตัว MK I จนถึง MK V, รุ่นอัปรีย์ เอ๊ย…Capri, Escort MK I ถึง MK V จนถึงรุ่น Fiesta MK I จนถึงปัจจุบัน
แต่เนื่องจาก Ford นั้นจำเป็นต้องมีรถแรงเอาไว้ “เบ่ง” กับคู่แข่งชาติเดียวกันที่ตัวเล็กและเบากว่า นั่นคือ “Mini Cooper S” และข้ามไปที่เยอรมันซึ่งในช่วงนั้นมี BMW ตระกูล “02” ออกมา หรือเล็งไปที่อิตาลีก็เจอกับ Alfa Romeo Giulia Coupe, Fiat 125 S, Fiat 124 Special T ซึ่งมีแรงม้าสูงกว่าเนื่องจากถ้าไม่เป็น OHC ทวินคาร์บก็จะเป็นทวินแค็มทวินคาร์บไปเลย (ยกเว้นตัว Mini Cooper S ที่ยังคงเป็น โอเวอร์เฮดวาล์ว 2 คาร์บ) ดังนั้นในปีเดียวกันนี้ Ford Escort ก็ได้ออกรุ่น “Twink” ที่วางเครื่องทวินแค็มซึ่งยืมมาจาก Lotus ที่ได้มา 109.5 แรงม้า DIN แต่ก็ยังเป็นเครื่องพื้นๆ ที่ปราศจากเรี่ยวแรงจนกระทั่งอีก 2 ปีถัดมา คือต้นปี 1970 ที่ Ford ได้ออกตัว Escort RS 1600 ที่ลือลั่นออกมาทำเอารถไอ้เลี่ยนและเยอรมันทำอะไรไม่ได้ อาศัยน้ำหนักที่เบากว่า ตัวเครื่องไม่ได้มาจาก Kent อีกต่อไปเพราะงานแบบนี้ต้อง “Cosworth” เท่านั้น จากเครื่องธรรมดา 1.6 OHC 90 แรงม้า DIN ที่นำมาจาก Cortina เลยกลายมาเป็นทวินแค็ม 16 วาล์ว ความจุสุทธิ 1,601 ซีซี. พร้อมเปลี่ยนบล็อคล่างเป็นอลูมิเนียม ขับด้วยสายพาน เรานิยมเรียกบล็อคนี้ว่า “BDA” หรือ “Belt-Drive-Type A” กันติดปากในสมัยโน้น แรงม้าที่ออกมาทำได้ถึง 120 DIN ที่ 6,500 รอบ แรงกว่า Alfa Romeo Giulia 1600 Sprint Veloce ที่ทำได้ 115 DIN และ Lotus ที่ทำได้เพียง 109.5 DIN ที่ 6,000 รอบ เสียดายที่ตัว RS 1600 นี้ผลิตออกมาไม่ถึง 1,200 คันทั่วโลกจึงไม่เห็นมีวิ่งในบ้านเรา
เจ้า RS 1600 นี้วางจำหน่ายขายดีอยู่แถวยุโรปด้วยราคาที่ค่อนข้างสูงเพราะผลิตจำนวนน้อย ส่วนใหญ่จึงเป็นพวกที่เอาไปโมดิฟายเพิ่มเพื่อแข่งขันทั้งทางเรียบและแรลลี่ แต่ที่สร้างชื่อจริงๆ เป็นพวกแรลลี่เพราะชนะไปทั่ว ทั้งที่ยุโรปเอง เช่น มอนติคาร์โล, อะโครโปลิส, RAC, ไอร์แลนด์, ดัทช์ ทิวลิป, แรลลี่ขึ้นเขาอัลไพน์ในออสเรีย หรือจะเป็นการแข่งเลียบทะเลสาบในฟินแลนด์ “1000 Lakes Rally” จนได้ตำแหน่งแชมป์โลก World Champion Rally ในปี 1969 เป็นครั้งแรก ภายหลังทาง Cosworth ก็ได้ขยายความจุของมันเป็นรุ่น 1,800 และ 2,000 ซีซี.ที่มีแรงม้าจากโรงงาน 205 แ ละ 250 DIN ตามลำดับ ตระกูล “RS” จึงถือว่าเป็นตำนานแรลลี่ประเภท ‘จี๊ดจ๊าด’ ว่ากันเลกสั้นๆ แล้วเข้าเซอร์วิส เอาความแรง ความเปรียว การออกตัวเป็นหลัก รวมกับฝีมือของนักแข่งและทีมเซอร์วิส ซึ่งเป็นประเภทหนึ่งของการแข่งขันแรลลี่แบบไม่ทารุณเกินไปสำหรับทุกฝ่าย
แต่อีกประเภทหนึ่งของการแข่งขันแรลลี่จะเป็นแบบ “Endurance” เอาประเภท “อึด-ทน-ควาย” เป็นหลัก ซึ่งได้แก่ อีสท์อัฟริกันซาฟารี, การแข่งจากลอนดอนถึงซิดนีย์ และที่ขาดไม่ได้คือ “การแข่งขันลอนดอนถึงเม็กซิโก” ระยะทาง 16,000 ไมล์ ที่ดูมันยาวก็เพราะไม่ใช่แข่งอยู่แถวๆอังกฤษเสร็จแล้วขึ้นเรือมาแข่งต่อในเม็กซิโก แต่เขา “เล่น” วนกันในยุโรปจนทั่ว จากนั้นมาวนเล่นไล่จากอเมริกาใต้ขึ้นมาถึงตอนกลางจนมาฟินิชที่ประเทศเม็กซิโก แข่งกันทั้งหมด 6 สัปดาห์เพื่อหา ‘ควาย’ ที่ขับและนำทาง และหารถที่เป็นประเภท ‘กระบือ’ เช่นกัน
งานนี้ Ford จะเอา RS 1600 BDA ไปลงก็จะไม่คงทนเท่าเครื่องรุ่นเก่าที่ไม่ไฮเทคเพราะงานแข่งประเภทนี้ความเร็วไม่สำคัญเท่าความทน, ความง่ายในการดูแลซ่อมบำรุง จะเอาตัวเครื่องบล็อคเล็ก 1.1 หรือ 1.3 ลิตรไปลงก็คงจะอยู่รั้งท้าย เห็นจะไม่มีอะไรเหมาะไปกว่าการปรับปรุงรถออกมาอีกรุ่นหนึ่งเพื่อการแข่งประเภทนี้โดยเฉพาะ โดยเลือกเอาเครื่องในโกดังที่เป็น 1,600 ซีซี. (สุทธิ 1,599 ที่มาจาก ลูกสูบ x ช่วงชัก เท่ากับ 81 x 77.6 มม. โอเวอร์เฮดวาล์วที่มีอยู่เดิม 86 แรงม้ามาโมดิฟายอีกเล็กน้อยที่เครื่องและเสริมช่วงล่างทั้งดามเพิ่มความแข็งแรงส่วนแชสซีส์ตัวถังเพื่อให้วิ่งได้ถึงเส้นชัยแบบ “มีหวัง” ด้วย ไม่ใช่เข้าท้ายๆ ตรงนี้เปรียบเสมือนได้เสนาธิการที่ดีเพื่อวางแผนการรบหรือได้โค้ชวางแผนดีในเกมกีฬา และแล้ว Ford รุ่นที่ว่านี้ก็สร้างประวัติศาสตร์โลกโดยกวาดชัยชนะอันดับ 1,3,5,6 และ 8 จากการแข่งขันครั้งนี้ สร้างความฮือฮาไปทั่วโลก!!